- Release Date: 24 มิถุนายน 2547
- Director: ผอูน จันทรศิริ
- Starring: อรรถพร ธีมากร, แอน ทองประสม
คำโปรย : บางสิ่งอาจบอกความรู้สึกของหัวใจ ได้ลึกซึ้งมากมาย กว่าคำพูดร้อยพัน...
เนื้อเรื่องย่อ: ดิว (แอน ทองประสม) โปรแกรมเมอร์สาว มี เกด (สุพิชญา จุลวัฒฑะกะ) เพื่อนรักเพียงคนเดียวที่อาศัยอยู่ด้วยกัน จนกระทั่งความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อดิวต้องเดินทางขึ้นเชียงใหม่หลังจากได้รับจดหมายแจ้งข่าวการเสียชีวิตของยายเล็ก ที่นั่นดิวได้พบกับ ต้น(อรรถพร ธีมากร) นักวิจัยหนุ่มประจำสถานีวิจัยทางการเกษตร ดิวได้สัมผัสถึงความอบอุ่นอ่อนโยนที่มีอยู่ในตัวต้น ดูเหมือนว่าความเรียบง่ายที่แสนอบอุ่น ของดอยอ่างขางและเชียงใหม่ยังคงอยู่ในความรู้สึกในใจของดิว ถึงแม้ว่าตอนนี้ตนเองได้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยชีวิตที่เร่งรีบและเต็มไปด้วยการแข่งขันอีกครั้ง จนกระทั่งเกิดเซอร์ไพรส์บางอย่างขึ้นกับดิวโดยไม่ทันตั้งตัว เมื่อได้พบกับต้นที่เดินทางมาหาดิวถึงกรุงเทพ และสูญเสียเพื่อนรักอย่างเกดที่เสียชีวิตจากการนัดบอดกับเพื่อนชายที่ติดต่อกันทางอินเตอร์เนต สิ่งที่เกิดขึ้นร้ายแรงเกินกว่าที่หัวใจอันบอบช้ำของดิวจะรับได้จากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ทำให้ดิวตัดสินใจหันหลังให้กับกรุงเทพเดินทางมุ่งหน้าสู่เชียงใหม่เพื่อพบกับ ความอบอุ่นเดียวในชีวิตที่เหลืออยู่
นักแสดง:
แอน ทองประสม | .... ดิว | |
อรรถพร ธีมากร | .... ต้น | |
สุพิชญา จุลวัฒฑะกะ | .... เกด |
ความยาว: 110 นาที
ระบบถ่ายทำ: ฟิล์ม 35 มม., สี
วันที่เข้าฉาย: 24 มิถุนายน 2547
ดิว (แอน ทองประสม) อาชีพ โปรแกรมเมอร์สาวในเมืองใหญ่ที่ต้องเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้กับบริษัทเว็บไซต์แห่งหนึ่ง ชีวิตมีเพียงจอมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์
ซึ่งดึงเอาเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตไปเกือบหมด ยังดีที่มี เกด (สุพิชญา จุลวัฒฑะกะ) เพื่อนรักเพียงคนเดียวที่อาศัยอยู่ด้วยกัน
จนกระทั่ง
ความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตได้เริ่มต้นขึ้น
เมื่อดิวต้องเดินทางขึ้นเชียงใหม่หลังจากได้รับจดหมายแจ้งข่าวการเสียชีวิตของยายเล็ก
ญาติห่างๆ ที่ทิ้งมรดกเป็นบ้านหลังเล็กที่แสนอบอุ่นและไร่กะเทียมไว้ให้
ที่นั่นดิวได้พบกับ ต้น (อรรถพร ธีมากร)
นักวิจัยหนุ่มประจำสถานีวิจัยทางการเกษตรที่เชียงใหม่ให้ความช่วยเหลือดิวและเกดที่ต้องพบกับเหตุสุดวิสัยในระหว่างการเดินทางกลับกรุงเทพ
ทำให้ต้องเสียเวลาอีก 6 ชม.เพื่อรอรถกลับกรุงเทพเที่ยวต่อไป
เกดและดิวจึงมีโอกาสได้แวะศูนย์วิจัยซึ่งเป็นที่ทำงานของต้น
นั่นทำให้ดิวได้สัมผัสถึงความอบอุ่นอ่อนโยนที่มีอยู่ในตัวต้น
และยังได้รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาในชีวิตของชายหนุ่มที่แสนบอบบางคนนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่ได้ต่างอะไรไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเธอเลย
โดยเฉพาะการต้องเติบโตท่ามกลางความเหงาที่แสนโดดเดี่ยวอย่างคุ้นเคย
สำหรับต้น
นอกจากรุ่นพี่ รุ่นน้องและเพื่อนๆที่ศูนย์วิจัยแล้วดูเหมือนว่า “ต้นบ๊วย”
สูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในพื้นที่ของศูนย์วิจัย
จะเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตเดียวที่เปรียบได้กับญาติที่เหลืออยู่ของต้น
ทันทีที่ลืมตามองดูโลกได้ไม่นานเขาก็ต้องสูญเสียแม่และพ่อในเวลาต่อมา
ดูเหมือนว่า
ความเรียบง่ายที่แสนอบอุ่น
ของดอยอ่างขางและเชียงใหม่ยังคงอยู่ในความรู้สึกในใจของดิว
ถึงแม้ว่าตอนนี้ตนเองได้กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่เต็มไปด้วยชีวิตที่เร่งรีบและเต็มไปด้วยการแข่งขันอีกครั้ง
ในขณะที่เพื่อรักอย่างเกดยังคงตื่นเต้นไปกับนัดบอดที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเพื่อนชายที่ติดต่อและแชตทางอินเตอร์เนต
วันเวลาผ่านไปทั้งปีใหม่ และวาเลนไทน์ โดยมีสิ่งพิเศษเล็กๆ
ที่เกิดขึ้นในชีวิตของดิวคือการได้มีเพื่อนใหม่อย่างต้น
ที่ยังคงติดต่อกันหลังจากกลับจากเชียงใหม่ในครั้งนั้น
ผ่านโทรศัพท์ซึ่งเป็นสื่อกลางที่ทางคู่ได้บอกเล่าความเป็นไปที่เกิดขึ้นในแต่ละวันของกันและกัน
จนกระทั่ง เกิดเซอร์ไพรส์บางอย่างขึ้นกับดิวโดยไม่ทันตั้งตัว
เมื่อได้พบกับต้นที่เดินทางมาหาดิวถึงกรุงเทพ
และสูญเสียเพื่อนรักอย่างเกดที่เสียชีวิตจากการนัดบอดกับเพื่อนชายที่ติดต่อกันทางอินเตอร์เนต
สิ่งที่เกิดขึ้นร้ายแรงเกินกว่าที่หัวใจอันบอบช้ำของดิวจะรับได้จากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น
ทำให้ดิวตัดสินใจหันหลังให้กับกรุงเทพเดินทางมุ่งหน้าสู่เชียงใหม่เพื่อพบกับ
ความอบอุ่นเดียวในชีวิตที่เหลืออยู่
ดิวตัดสินใจปักหลักใช้ชีวิตอยู่ในบ้านที่ยายเล็กทิ้งไว้ให้พร้อมกับรับงานจากกรุงเทพโดยมีต้นที่คอยห่วงใย
หมั่นแวะมาเยี่ยมเยียน
และคอยให้กำลังใจจนดิวสามารถกลับมายืนหยั่นใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ผ่านคืนและวันที่พร้อมกลับมางดงามได้อีกครั้ง
กำหนดการเข้าฉาย - 24 มิถุนายน 2547
จัดจำหน่ายโดย - สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล
ผลิตภาพยนตร์โดย - ภาพยนตร์หรรษา
กำกับภาพยนตร์ - ผอูน จันทรศิริ
อำนวยการสร้าง - สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ , นนทรีย์ นิมิบุตร
ควบคุมการสร้าง - นนทรีย์ นิมิบุตร , ดวงกมล ลิ่มเจริญ
บทภาพยนตร์ - คงเดช จาตุรนต์รัศมี
กำกับภาพ - นฤพล โชคคณาพิทักษ์
ออกแบบงานสร้าง - เอก เอี่ยมชื่น
ลำดับภาพ - ม . ร . ว . ปัทมนัดดา ยุคล
ผู้ออกแบบเสื้อผ้า - ธวัชชัย เพชรวารา
แต่งหน้า - จิรวัฒน์ ทาสาย
ออกแบบทรงผม - ธนกร ยิ้มงาม
ผู้จัดหาตัวแสดง - พลธร ศรีรักษา
ผู้อำนวยการโปรโมชั่น - องอาจ ศุกระมณี
ดนตรีประกอบภาพยนตร์ - ชาติชาย พงศ์ประภาพันธุ์
เพลงประกอบภาพยนตร์ - บอย โกสิยพงษ์ , ชาติชาย พงศ์ประภาพันธุ์
นำแสดง - อรรถพร ธีมากร , แอน ทองประสม , คุณเรวัฒน์ พรหมรักษ์
ในที่สุดแล้ว
ต้นและดิวก็ได้พบกับสิ่งที่ทั้งคู่ต่างเฝ้าตามหามาตลอดชีวิต
เมื่อพรหมลิขิตได้นำให้คน 2 คนที่อาจจะอยู่ที่ใดก็ตามในโลกได้มาพบกัน
ความห่วงใย และสิ่งดีๆ ที่ต่างฝ่ายต่างหยิบยื่นและเติมเต็มให้แก่กัน
ล้วนเอ่อล้นไปด้วยความสุขที่ทั้งคู่สัมผัสได้ มันคือรักแท้
ที่เป็นทั้งรักแรก และรักเดียวในชีวิตของทั้งดิวและต้น
หลังจากแต่งงาน
ต้นย้ายมาอยู่กับดิวในบ้านที่เต็มไปสายใยแห่งรักที่แสนอบอุ่น
และไม่มีวันสูญสิ้นทั้งในเรื่องราวความรักของต้นกับดิวเอง และของยายเล็ก
เมื่อต้นได้พบกับข้าวของในอดีตที่ถูกเก็บไว้ของยายเล็ก
ในนั้นมีจดหมายรักที่บอกเรื่องราวในอดีตฉบับหนึ่ง
ซึ่งถ่ายทอดความรู้สึกในรักที่มีอยู่อย่างเหลือล้นของชายคนหนึ่งที่มีต่อยายเล็ก
ต้นประทับใจในข้อความและสิ่งที่ปรากฏอยู่ในจดหมายมาก
จนมีความคิดว่าวันหนึ่งอยากเขียนจดหมายแบบนี้บ้าง
ความรักมีความหมาย
และมีคุณค่าสำคัญที่เติมเต็มชีวิตให้กับหลายๆ
คนรวมทั้งดิวแต่ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนถูกกำหนดไว้
และยากที่จะเปลี่ยนแปลงเหมือนการที่สวรรค์กำหนดให้ต้นมาพับกับดิว
และพรากต้นไปจากดิว ไม่นานนักหลังจากความสุขที่เกิดขึ้นในชีวิตของทั้งคู่
ต้นเกิดไม่สบายอย่างหนัก จนในท้ายที่สุดพบว่าตนเองเป็นโรคร้าย
และเหลือมีเวลาเหลืออยู่เพียงน้อยนิด
แล้วในที่สุด
ดิวต้องพบกับความสูญเสียครั้งร้ายแรงที่สุดในชีวิตคือสูญเสียต้นไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
ดูเหมือนหัวใจที่บอบช้ำของดิวมันอ่อนแอเกิดที่จะเยียวยาได้อีกครั้ง
เมื่อต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังด้วยตัวคนเดียวเดียวในโลกที่แสนกว้างใหญ่ใบนี้.....
จนกระทั่ง ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดเกิดขึ้นกับชีวิตของดิว การมาถึงของจดหมายจาก
ลายมือที่แสนคุ้นเคย จากคนเดียวในดวงใจ ผู้เป็นรักแรก รักแท้และเป็นรักเดียวของดิว.....
คาแรคเตอร์นักแสดงนำจากภาพยนตร์เรื่อง เดอะเลตเตอร์…จดหมายรัก อรรถพร ธีมากร (หนุ่ม) รับบทเป็น ต้น พระเอกหนุ่มวัย 30 ต้นๆอย่าง หนุ่ม อรรถพร ได้เผยถึงการพลิกบทบาทครั้งนี้ว่า "คือมันเป็นบทบาทและคาแรกเตอร์ที่ผมก็ไม่เคยเจอมาก่อนครับ คราวนี้เป็นการพลิกบทบาทมาเล่นเป็นผู้ชายอบอุ๊น อบอุ่น แสนดี เป็นผู้ชายที่รักผู้หญิงคนหนึ่งจนหมดหัวใจ อ่านแล้วมันท้าทาย พลิกจากภาพจิ๊กโก๋ไปเลย เรื่องนี้ไม่ต้องถือปืน แต่หันมาจับเลื่อยตัดไม้เพราะเล่นเป็นนักวิจัยพันธุ์พืช ไม่ได้เล่นหนังมานานแล้ว เดอะเลตเตอร์เป็นหนังโรแมนติก-ดราม่า ทำให้ต้องปรับบุคลิก จากเดิมต้องเป็นคนที่อยู่กับการแข่งขันตลอดเวลาเปลี่ยนเป็นคนที่อยู่กับธรรมชาติก็จะช้าลงมันก็จะนุ่มขึ้น จนกระทั่งเขามาเจอกับ ดิว มันเริ่มจากบุพเพสันนิวาสที่ทำให้คน 2 คนมาเจอกัน แล้วเกิดเป็นความรักที่บริสุทธิ์ เป็นความรักที่ผู้ชายคนหนึ่งอยากจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งมีความสุขที่สุดในโลก ทั้งคู่อยากจะทำสิ่งดีๆ ให้แก่กันและกัน เป็นความรักที่ให้ทั้งชีวิต จิตใจ ทุกอย่าง ซึ่งผมเชื่อว่า ความรักแบบนี้มันยังมีอยู่ แม้โดยสังคมที่มันพัฒนาไปโดยเร็ว เปลี่ยนไปเร็ว บางทีมันอาจจะละเลยความรู้สึกที่ควรมอบให้แก่กันจริงๆ แต่ผมก็หวังว่าเมื่อคนดูที่ดูหนังเรื่องนี้แล้ว หวังว่าคงมีใครอยากทำตามบ้าง หมายถึงการมอบความรักให้กับคนรักอย่างบริสุทธิ์ใจและอยากทำให้คนที่เรารักมีความสุขที่สุดในโลกเหมือนผมในเรื่องครับ" หนุ่ม กล่าว แอน ทองประสม (แอน) รับบทเป็น ดิว "ครั้งแรกที่ได้อ่านบท แอนรู้สึกเหมือนว่าหนังเรื่องนี้มีพลังอะไรบางอย่าง ซึ่งนอกจากจะทำให้เรารู้สึกสนใจแล้ว ตัวเรื่อง ตัวบทสามารถทำให้แอนถึงกับรู้สึกว่าอยากลงไปเล่นเลย แอนอยากเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ ๆที่เป็นอย่างในบท แอนอยากเจอผู้ชายคนนี้ แอนอยากรักกับผู้ชายคนนี้จังเลย ต้องยอมรับว่าบทดีมาก สามารถทำให้เรารู้สึกไปกับมันได้เลย แล้วพออ่านบทไปรอบแรกก็ร้องไห้เยอะมาก ก็เลยตั้งคำถามไว้กับตัวเองว่าเราเป็นคนอ่อนไหวรึเปล่า ก็เลยลองอ่านใหม่ อ่านอีกทีนั่งอ่านซ้ำ ๆอยู่นั่นแหละ 4-5 รอบก็ยังเกิดความรู้สึกเหมือนเดิม แล้วร้องตรงจุดเดิมด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วแอนเป็นคนที่เลือกบทในการเล่นนะ ความรักมีทั้งสุขทั้งทุกข์มีทั้งเลวทั้งดี อย่างเราเป็นผู้หญิงทำงานคนหนึ่ง ที่ได้มาเจอกับผู้ชายคนหนึ่งที่เรารอมาทั้งชีวิต ได้รักกัน แต่งงานกัน ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุข จนวันที่เขาจากเราไป จากคนที่ทำอะไรไม่เป็นต้องลุกขึ้นมามีชีวิตอยู่ให้ได้ เป็นธรรมชาติจริง ๆ แล้วแอนเล่นเรื่องนี้แทบไม่ต้องแต่งหน้าเลย" แอนกล่าว |
หนังรักที่ดวงกมล ลิ่มเจริญทุ่มเทหัวใจและถ่ายเทจิตวิญญาณตราบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตโดยมีนนทรีย์ นิมิบุตร รับหน้าที่โปรดิวเซอร์อย่างเต็มตัวให้กับผอูน จันทศิริ ผู้หญิงเก่งที่เป็นทั้งนักแสดง คนเขียนบท และผู้กำกับละครแถวหน้าของเมืองไทย รับหน้าที่กำกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรกด้วยภาพยนตร์ดราม่า-โรแมนติคที่มาพร้อมความประทับใจที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจแก่นแท้และนิยามในความรักที่ไม่ได้เริ่มต้นหรือจบลงตรงที่เราได้ค้นพบและเติมเต็มแง่มุมความรักที่เฝ้าค้นหามาตลอดชีวิต แต่เป็นการทำความเข้าใจ “ความหมาย” และ “เรียนรู้วิธีที่จะรักษาคุณค่าของรักแท้ให้คงอยู่”ภายหลังจากคนที่เรารักจากไป พร้อมการตั้งคำถามกับทุกคู่รักว่า “นานเท่าไหร่แล้วที่เราไม่เคยหลั่งน้ำอย่างอิ่มเอมให้กับหนังรักดี ๆ สักเรื่อง”
และเป็นการประกบบทบาทกันครั้งแรกในชีวิตของแอน ทองประสม และหนุ่ม อรรถพร ธีมากร 2 นักแสดงระดับแถวหน้าของเมืองไทย โดยเป็นการหวนคืนจอภาพยนตร์ครั้งแรกในรอบทศวรรษของแอน ทองประสม หลังจากที่หลั่งน้ำตาถึง 4 ครั้งจากการอ่านบทภาพยนตร์ไป 4 รอบ และเป็นการพลิกบทบาทครั้งสำคัญของหนุ่มอรรถพร โดยมีโลเกชั่นหลักคือดอย อ่างขาง จังหวัดเชียงใหม่ที่ๆ ความรักของคนทั้งคู่เริ่มต้นขึ้นว่ากันว่ารักแท้ที่เป็นรักแรกและรักเดียวในชีวิตหากเกิดขึ้นกับใครสักคน แน่นอนว่ารักนั้นจะไม่เลือนหายไปจากใจ ตราบแม้คนที่เรารักจะไม่ได้อยู่เคียงข้างอีกต่อไปแล้วก็ตาม
ชื่อของ แอน ทองประสม ดูจะหายไปจากหนังจอใหญ่นานพอสมควร จนทำให้หลายคนคิดว่าเธอคงไม่คิดหวนคืนมาอีก เพราะงานละครก็มีให้เล่นอย่างเต็มมืออยู่แล้ว แต่เมื่อทางทีมงาน The Letter...จดหมายรัก ที่มีทีมงานระดับแนวหน้าของวงการหนังไทยอย่าง อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร , อ้อม ดวงกมล ลิ่มเจริญ ที่รับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ของหนังเรื่องนี้ โดยมีผอูน จันทรศิริรับหน้าที่กำกับ นางเอกยอดนิยมของคนไทยคนนี้จึงไม่ยอมเสียโอกาสที่จะกลับมาบนจอใหญ่อีกครั้ง
The Letter...จดหมายรัก เป็นพูดถึงอีกแง่มุมหนึ่งของความรักที่ ซึ่งดูๆ ไปมันก็น่าโหดร้ายหากวันนึงเราได้พบกับรักแท้ แต่กลับต้องสูญเสียคนที่รักไป โอ้...ฟังแค่นี้ก็คงต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้ให้คนข้างๆ เช็ดน้ำตาซะแล้ว งานนี้ แอน ทองประสม บอกว่าค่อนอินกับบทพอสมควรเพราะแค่อ่านบท 4-5 รอบก็อดไม่ได้ที่จะต้องร้องไห้ทุกรอบ ในเรื่อง The Letter...จดหมายรัก แอน รับ บทเป็น "ดิว" หญิงสาวที่ใช้เวลาทั้งชีวิตจนได้พบกับรักแท้ แต่ต้องสูญเสียชายคนรักไปในยามที่ความรักกำลังสุกงอม ส่วนพระเอกของเรื่องก็เป็นรุ่นใหมฝีมือดีอีกคนของวงการ หนุ่ม อรรถพร ธีมากร ที่ก็เขินๆ อยู่เหมือนกัน เมื่อต้องมาประกบนางเอก แอน ทองประสม ส่วนคนที่รับบทหนักก็คงหนีไม่พ้นนางเอกของเรื่อง เพราะต้องร้องไห้เป็นสิบๆ รอบ มากกว่างานละครทุกครั้งที่ผ่านมา "คืออย่างละคร เล่นหนเดียว ร้องไห้ครั้งหนึ่งมีกล้องรับ 3 ตัว รองรับพร้อมกัน ถ้าเราเล่นได้ก็จบ แต่หนังไม่ใช่ อย่างร้องไห้เสร็จแล้ว ก็ต้องไปร้องไห้อีกเพื่อรับกล้องมุมนั้นมุมนี้ แล้วหนังเรื่องThe Letter...จดหมายรัก ต้องร้องไห้หลายฉากเป็น 10 ครั้ง อย่างแอน เคยร้องไห้หนักมากจนถึงขั้นเส้นเลือดฝอยแตก เป็นเหมือนเลือดกำเดาไหลออก เป็นอยู่อย่างเนี่ยอยู่เป็นอาทิตย์ ตั้งแต่เล่นละครมาก็ไม่เคยเป็นอย่างนี้ ถือว่าหนักสุด ถ้าใครที่จะไปดูต้องถือผ้าเช็ดหน้าไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยนะ"
เส้นทางที่ไม่ควรเอาอย่างจากผู้หญิง "โคตรเก่ง" ผอูน จันทศิริ นักแสดง คนเขียนบท และผู้กำกับหนังที่รู้ใจผู้หญิง
คำถาม : ชีวิตของผอูน จันทศิริดูวุ่นๆ แบบนี้มาหลายปีแล้วรึยัง
คำตอบ : พูดถึงพี่ค่อนข้างจะจัดเวลาของตัวเองพอสมควร เพราะพี่เป็นคนที่สมองไม่ค่อยดี ก็เลยเป็นที่แบบว่าช่วงทำงานนี่จะวุ่นมาก เพราะทำงานอาทิตย์ละ 7 วัน พอจบงานชิ้นหนึ่งพี่ก็จะมีเวลาพัก แล้วค่อยรับงานอีกชิ้นหนึ่ง แม้กระทั่งในขณะที่กำกับละคร พี่ก็จะทำทีละเรื่อง แล้วก็จะพักสมองสักนิดนึง เพราะสมองมีน้อย ให้มันฟื้นขึ้นมาหน่อยแล้วค่อยรับชิ้นต่อไป มีปีที่แล้วที่มีเวลาพักน้อยหน่อย พอจบปั๊บต่อเลย คือเวลาพักอาทิตย์ 2 อาทิตย์เท่านั้น ปีที่แล้วเป็นครั้งแรกก็เลยรู้สึกว่าปีที่แล้วค่อนข้างจะตะลุมบอน งงๆตลอดเวลา ทำงานค่อนข้างเยอะ ทั้งเล่นหนังกำกับละคร แล้วยังมีกำกับหนังอีก ปีที่แล้วเหมือนกับเป็นปีที่เริ่มอะไรใหม่ๆเยอะแล้วก็ดูวุ่นวายตลอดเวลา
คำถาม : พอจะจำได้ไหมที่ว่าวุ่น ๆ ปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพี่ปุ๊ยผอูน ทำอะไรบ้าง
คำตอบ : ปีที่แล้วเป็นปีที่สนุกมาก ถ้าเปิดดูในสมุดจดงาน ต้นปีก็จะเป็นละครเวที ซึ่งจริงๆแล้วพี่เริ่มการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยด้วยละครเวที เพราะฉะนั้นเรื่องละครเวทีก็คือจุด start คือจุดที่พี่รักที่สุด ปีที่แล้วเล่นละครเวทีที่แดส เรื่องทึนทึกสนุกมาก เป็นการชาร์ตแบต ช่วงนั้นก็จะมีการกำกับละครโทรทัศน์เรื่องเมืองมายาเดอะซีรี่ส์ แล้วในขณะเดียวกันก็มีเล่นละครของโพลีพลัส ซึ่งยังไม่ได้ออกอากาศ คือพี่ก็ไม่ได้เล่นละครมาหลายปีเหมือนกันเพราะว่าเวลามันไม่ได้ พอกำกับอยู่ ตอนกำกับเมืองมายามันค่อนข้างจะสบายๆ ลงตัว ทีมงานดี นักแสดงดีมาก งานไม่ค่อยหนักเท่าไหร่ ทำไปเหมือนปาร์ตี้ สนุกสนานเฮฮา เนื้อเรื่องก็ไม่ค่อยซับซ้อน ไม่เครียด ก็เลยมีเวลาไปรับเล่นละครเรื่องบันทึกลูกผู้ชายของโพลีพลัส ก็ยังไม่ออก พอเมืองมายาจบซีรี่ส์ชุดที่ 3 ซีรี่ส์ 5 เค้าก็ขอให้ทำต่อ แต่พี่ก็บอกเค้าว่าคือพี่ต้องทำหนังก็เลยกลายเป็นละครที่มีผู้กำกับ 2 คน คือมีน้องอีกคนหนึ่งที่คอยช่วยเหลือเวลาที่พี่ต้องมาเตรียมงานหนัง ก็เลยทำเมืองมายาซีรี่ส์ แล้วก็มาทำหนัง
คำถาม : งานกำกับละครนี่ถือว่ากินเวลาเราไปเยอะไหม
คำตอบ : สำหรับคนอื่นพี่ไม่แน่ใจ แต่สำหรับพี่ก็กินเวลาทั้งหมด ก็เหมือนทำหนัง จริงๆแล้วละครมันเป็นล็อคๆ คืออาทิตย์สามารถจัดคิวกัน วันพุธ หรือจะเป็นวันพุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็แล้วแต่เรื่อง แต่ว่าก่อนที่จะมาเป็นจันทร์ อังคาร พุธ เราก็จะมีวันหนึ่งที่เราจะประชุมก็หมดเวลาไปอีกวันนึงแล้ว เมื่อละครมันออนไปแล้ว ส่วนใหญ่มันจะสต็อคครึ่งหนึ่งแล้วก็ออนแอร์เลย เพราะฉะนั้นนอกจากงานที่เราคอนโทลแล้ว เมื่อเค้าตัดต่อเค้าก็ต้องเอามาให้เราดูอีก ก็เสียเวลาดูไปอีก 1 วัน วันที่เหลือก็จะต้องไปดู Location ล่วงหน้าบ้าง เพราะฉะนั้นมันก็เกือบ 7 วัน อาจได้นอน 1 วัน
ถาม : แล้วงานทางด้านเขียนบทหละ
ตอบ : ปีที่แล้วเป็นปีที่ไม่ได้เขียนบทเลย ไม่ได้เขียนมา 2 ปีแล้ว ก็อยากเขียนอีก แต่งานเขียนบทเป็นงานที่ เหนื่อยสมองมากเลย แล้วต้องมีเวลาจริงๆ มันจะไม่ค่อยดีนักถ้าเราไม่มีเวลาให้มัน ก็เลยลางเลือนมากสักปีกว่าๆแล้ว อีกอย่างหนึ่งถ้าไม่ได้เขียนนานๆมันก็ขี้เกียจ
ถาม : มันใช้เวลาเยอะด้วย
ตอบ : ใช่คะ พอมาเทียบกันแล้ว คือจริงๆพี่จะเป็นคนที่เริ่มเล่นละครกับเขียนบทจะมาพร้อมกัน คืออาชีพที่ทำมาพร้อมๆกัน แล้วกำกับเพิ่งมาทำทีหลัง แต่เทียบกัน 3 อย่างพี่ว่าเขียนบทเหนื่อยที่สุด แล้วก็งานแสดงแฮปปี้ที่สุด ทั้งสนุกและก็สบาย และก็เงินดี เลยไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมไม่เล่นต่อก็ไม่รู้ มาหาเรื่องเหนื่อยทำไม
ถาม : แล้วถ้ารวมหนังเข้าไปด้วยเป็น 4 อย่างคิดว่าตัวเองชอบหรือถนัดงานไหนมากที่สุด
ตอบ : 4 อย่าง ถ้าจริงๆแล้ว ณ เวลานี้ หนังเป็นสิ่งที่ท้าทายมากที่สุด เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เราไม่คุ้นเคยเลย อย่างที่บอกพี่เป็นเหมือนวิญญาณที่เป็นคนละครเวที การที่เรา apply มาใช้กับละครโทรทัศน์มันค่อนข้างจะใกล้กันเหมือนกัน ก็พอ adapt เออ.. apply มาได้ อีกอย่างหนึ่งพี่มีวิชาความรู้ในด้านโทรทัศน์ก็คือเล่นมาค่อนข้างเยอะ พอมาเขียนบทมันก็ค่อนข้างเข้าใจอะไรหลายอย่าง แต่ว่าตอนที่พี่ยังเล่นละครอยู่เยอะๆ ก็เล่นหนังแค่ 4-5 เรื่อง ก็นับว่าค่อนข้างน้อย ไม่เยอะเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ได้แม่นทางหนังเท่าไหร่ ไม่มีความเชี่ยวชาญทางนี้ แต่เมื่อมีโอกาสได้ทำ มันก็ท้าทายเราเหมือนกันว่าจะทำได้ไหม จากที่เราทำละครมาขนาดนี้แล้วเราก็ค่อนข้างมั่นใจในเวลาทำงาน พอต้องมาเริ่มเปิดงาน line ใหม่มันเครียด เราจะทำได้ไหม ทีมงานจะเชื่อถือตัวเราขนาดไหน ก็เครียด ทุ่มเทให้เยอะเหมือนกัน
ถาม : ทำไมถึงใช้เวลานานจัง ผอูน จันทศิริถึงตัดสินใจกำกับหนัง
ตอบ : เป็นเพราะว่าพี่เป็นคนดูบ้าๆบอๆอย่างนี้ แต่พี่เป็นคน... ในแต่ละก้าวของการจะก้าวไปทำอะไร พี่ต้องมั่นใจเต็มเปี่ยม พี่ไม่ชอบเสี่ยง เป็นคนไม่ชอบเสี่ยงเลยต้องมั่นใจมากๆ ถึงแม้ใน line ของการกำกับโทรทัศน์ก็เหมือนกัน มีคนถามนานแล้วสมัยก่อน ก่อนที่จะทำ ทำไมไม่ทำ ทำไมไม่กำกับ พี่ก็คิดในใจว่าเราตอบคำถามคนได้หมดรึยังเวลาเค้าถาม เมื่อนักแสดงมีปัญหาถามเราเราเคลียร์ให้เค้าได้ไหม ทีมงานถามว่าไอ้นี่จะไปต่ออะไรยังไงเราตอบเค้าได้ไหม ถ้าเราตอบเค้าไม่ได้หมดเราอย่าเพิ่งทำ พอวันนึงที่เรามั่นใจว่ากูได้ละถึงค่อยทำ ในเรื่องของภาพยนตร์นี่ก็เหมือนกัน พี่ก็รู้สึกว่าการที่มีคนเค้าก็บอกว่ามันก็เหมือนกัน จะหนัง จะละคร จะละครเวที แต่จริงๆแล้วมันไม่ค่อยใกล้กันเท่าไหร่เลย มันเป็นศาสตร์คนละสายเลย เพราะฉะนั้นต้องใช้เวลานานมากในการตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ จนกระทั่งพอมันมีเรื่อง The letter ทำให้พี่รู้สึกว่าถ้าเราไม่ทำใครจะทำวะ ผู้ชายเค้าคงไม่ทำเรื่องอะไรรักๆอย่างนี้อยู่แล้ว ในเมื่อมันมีเรื่องที่เราคิดว่าเราน่าจะทำได้ดี ก็เลยตัดสินใจว่าจะทำ
ถาม : ขอย้อนกลับไปในช่วงที่พี่ปุ๊ยเปลี่ยนจากนักแสดงมาเป็นผู้กำกับ อาจรวมถึงงานละคร อะไรเป็นตัวหักเหให้เราไปทำงานในสายงานกำกับ
ตอบ : จุดหักเหสำคัญคิดว่าเหมือนกับถึงเวลาแล้วเหมือนกัน และก็ตอนนั้นเริ่มเบื่อกับบทที่เราได้รับ อันนี้คือจุดหักเหสำคัญพอสมควร เนื่องจากด้วยคาแรคเตอร์มันจะเป็นตลกๆ และบทมันก็ตามอยู่แค่นั้น มีช่วงหนึ่งมัน รู้สึกว่าเล่นมาตั้งกี่เรื่องทำไมมันเหมือนกันหมด และก็ความสนุกตรงนั้นมันลดไป พอเรามีโอกาสที่คนชวนมาว่า เฮ๊ย…กำกับเหอะ ก็เลยกำกับ พอมาทำแล้วจริงๆแล้วก็ยังคิดว่าตัวเองอาจจะตัดสินใจผิดเพราะว่าก้เริ่มคิดถึงการแสดงอีกแล้ว แต่ในมุมนั้นมันรู้สึกว่า เฮ๊ย..เบื่อ คือค่อนข้างโชคดีที่เป็นคนเลือกได้ แบบว่ามีโอกาสเลือก พอเบื่อ เริ่มรู้สึกว่า เฮ้อ…เล่นละครช่วงนี้เราเบื่อแล้ว เบื่อกับบทบาทที่ตัวเองได้รับ และรู้สึกว่าตอนนั้นมันโตพอสมควรที่ จะเริ่มมาทำอะไรใหม่ๆได้แล้ว มันก็คล้ายกับการมาทำหนัง นับว่าพี่เป็นคนที่มีโอกาสค่อนข้างดี ก็ต้องขอบคุณสวรรค์ที่ไม่ปล่อยให้เราเหนื่อยอะไรสักอย่าง ความจริงแล้วพี่เป็นคนค่อนข้างเนือยๆ หรือพี่เป็นคนเฉื่อยไม่ค่อยกระตือรือร้นในการทำงาน แต่ว่าโชคชะตามันบันดาลให้เป็นแบบนี้ เหมือนสมมติว่าเราเล่นละครแล้วไม่มีทางออก เล่นไปเรื่อยๆ พี่คิดว่าตัวพี่เองไม่ใช่คนอื่นพี่คงจะเลิกทำกันบ้าง มันก็เหมือนกับต้องตื่นมาทำงาน ซึ่งไม่อยากให้ตัวเองเป็นอย่างนั้น หรือว่าเขียนบทแล้วไม่มีทางเลือกเลยเขียนๆไป ตอนนี้พี่อาจจะมีแบบว่าใช้ให้คนอื่นเขียนให้แล้ว คือแบบว่าไม่ไหวแล้ว เขียนมาจนเบื่อแล้ว พอดีมันมีโอกาสในทางที่ให้เลือกว่าลองไปกำกับไหม พอได้กำกับมันก็ได้ทำให้ไฟในตัวมันมีการเปลี่ยนของงาน มันก็ทำให้เราตื่นเต้น เพราะปีที่แล้วมันทำให้พี่รู้สึกว่าการกำกับละครมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ของเราอีกแล้ว คือเราเริ่มวางใจกับมันแล้ว ธรรมดาพี่จะเป็นคนที่ทำการบ้านหนักมาก ถ้าจะดูบทพี่จะเห็นว่ามีอะไรเยอะมาก เพราะว่าก่อนวันที่จะไปถ่ายจะเตรียมงานอย่างดีมาก แบบว่าไม่ต้องเตรียมหน้ากอง แบบว่า define ทุกอย่าง ยกเว้นแต่ว่าฉากอะไรมันเปลี่ยนไป setting ไม่เหมือนที่เราคิดเราขอให้เปลี่ยน ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็เปลี่ยนจากอันที่เราเตรียมไว้แล้วทั้งหมด พอช่วงปีที่แล้วเราเริ่มรู้สึกว่าเฉื่อยลง เริ่มแบบว่า เฮ๊ย…คืนนี้ง่วงหลับละกัน เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคิด เริ่มมีอาการแบบนี้ ซึ่งแบบว่ามันน่ากลัว แต่ถึงแม้ว่าพี่จะคิดอย่างนั้นพี่ก็ไม่เคยทำ จะกลับบ้านจะง่วงขนาดไหนก็ต้องเตรียมก่อนที่จะถ่ายก่อนสักอาทิตย์ สมมติว่าวันจันทร์ อังคาร พุธ คืนวันอาทิตย์พี่ก็จะทำของทั้งอาทิตย์อยู่แล้ว แต่ว่าพอถ่ายวันจันทร์เสร็จก็จะทำการบ้านสำหรับวันอังคาร คือทำทบทวน แต่พอเหนื่อยหรือเพราะอายุที่เพิ่มขึ้นก็แบบว่าทำไปแล้วไงแล้วทำไมต้องชวนอีก คือแบบว่าต่อสู้กับตัวเอง แต่ว่ามันก็ต้องทำ เริ่มล้าๆลง ก็มีหนังเข้ามาทำให้เราตื่นเต้นและก็ไม่มั่นใจกับตัวเอง ซึ่งเคยไปปรึกษากับที่ปรึกษาทางใจ อย่างเช่น ผู้ใหญ่หรือครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือ ซึ่งเค้าพูดมาดีมากว่าพระเจ้าให้โอกาสที่เธอจะกลับมาคิดย่างนี้ เพราะธรรมดาหลังๆกลายเป็นคนที่มั่นใจ เพราะหน้าที่การงานการเป็นผู้กำกับมันค่อนข้างจะสอนให้เรามั่นใจ และตัดสินใจเร็ว เนื่องจากเราไม่มีสิทธิ์ไปถามใคร ทุกคนมาถามจากเรา ทำให้เรามองข้ามอะไรไปเยอะ เช่น อันนี้ต้องใช่อันนี้ต้องถูก พออยู่ๆมันวิ่งอยู่แล้วสะดุด เฮ๊ย…คิดดีแล้วเหรอมากำกับหนัง มันมีการกระตุกตัวเอง และก็ไม่มั่นใจ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ไปปรึกษาคนว่า เฮ๊ย…ไม่มั่นใจเลยวะ ไม่อยากทำเลย จะดีรึเปล่าก็ไม่รู้ ทีมงานเค้าจะว่าไงวะ เป็นแบบว่าครั้งแรกที่ก้าวไปในที่ที่เราเป็นแปลกหน้า ในรอบหลายๆปีพี่ประหม่ามากแบบว่าตื่นเต้นมาก แต่พอครูเค้าบอกว่าพระเจ้าส่งมาทดสอบให้ยูได้มาคิดว่าค่อยๆเป็นค่อยๆไป ลำดับความคิด ได้มีโอกาสลำดับความคิดตัวเองแล้วเตรียมอะไรให้เต็มที่แล้วค่อยทำงาน เราก็รู้สึกดีที่มีโอกาสไตร่ตรองที่จะทำเยอะๆ
ถาม : ก่อนหน้านี้เคยคิดมาก่อนไหมว่า ชีวิตเราจะมาเอาดีทางนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเขียนบท กำกับหรือแม้แต่การแสดง เพราะพี่ปุ๊ยเองก็เรียนอักษรและเคยทำละครเวทีมาก่อน
ตอบ : ทีแรกไม่เคยคิดเลย คือจริง ๆ จะบอกว่าเด็กไม่ควรเอาอย่างเพราะพี่เป็นคนไม่มีความใฝ่ฝัน ไม่เคยตั้งอะไรไว้เลยว่าควรจะทำอะไรดี จริงๆตอนเรียนพี่ก็ไม่ได้เอกละครเวที พี่เอกโบราณคดี-อังกฤษ และก็จบมาด้วยการไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไปดี จะมีเด็กหลายคนที่เป็นแบบนี้ สมัยเรียนคณะอักษรจุฬานี่เป็นอันดับหนึ่ง คือถ้า เรียนศิลป์-ภาษาจะได้คะแนนดี ก็คือต้องเลือกมันก็เลือกไปตามธรรมชาติว่าจะเรียนอะไรดี สมัยนั้นวงการบันเทิงยังไม่เฟื่องฟู เพราะฉะนั้นพี่ถึงอยากจะเอก Drama เอกการละครขนาดไหนก็ทำไม่ได้ เพราะแม่บอกว่าแล้วจะออกไปทำอะไรกินลูก มันไม่มีช่องทางว่าเราจะเข้าไปได้ยังไง มันไม่ใช่ยุคที่เดินไปสยามแล้วมีคนเดินมาชวนเข้าวงการ เรียนเค้าก็อนุญาตให้เรียนแต่ว่าอย่าเรียนเป็นเอก เพราะคงไม่มีปัญญาหางานแน่ เพราะฉะนั้นภาษาที่ลูกถนัดก็แล้วกัน แต่พอเรียนมาจนครบ 4 ปี ปริญญาตรีแล้ว มันกลายว่าเป็นเราหยุดเอง ในขณะที่เพื่อนเราเรียนปริญญาโทโครมๆ เราก็คิดว่าเราไปเรียนแล้วเราจะทำอะไร จริงๆ แล้วเราคงทำงานออฟฟิศไม่ได้ อยู่ๆก็มั่นใจขึ้นมาซะอย่างนั้น
ถาม : แล้วสมัยเรียนไม่ได้ตั้งเป้า หรือมองภาพตัวเองในงานตรงนี้บ้างเลยหรือ
ตอบ : ไม่ได้มอง คือเรียนไปวันๆ เป็นคนแบบว่าเรื่อยเปื่อย เล่นกับเพื่อน แต่ด้วยเป็นคนวาสนาดี คนดวงดีมาตลอด โชคดีจริงๆ ตอนปี2ปี3 มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนรับน้อง ชั้นปีพี่เป็นปีที่เฉื่อยมาก ไม่มีประธานรุ่น ไม่มีอะไร และก็เป็นรุ่นเดียวที่ไม่มีละครรับน้อง ไม่มีการแสดงรับน้อง รุ่นพี่ก็ด่า รุ่นน้องก็ด่าว่า ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ อีก 2 วันจะถึงวันรับน้องแล้ว ไม่ส่งอะไรเลย ก็มานั่งคิดว่า …รุ่นเราเสี่ยววะ เพราะไม่มีตัวตั้งตัวตี เป็นรุ่นประชาธิปไตยมั้งก็เลยเฉื่อยไปหมด อะ…กูเขียนเอง และก็ลุกขึ้นมาเขียนบทละครและก็กำกับ เอาเพื่อนเล่น ปรากฏว่าเป็นละครตลกที่ประสบความสำเร็จมาก ขนาดอาจารย์เป็นรองคณบดีขอไปแปลเป็นภาษาเยอรมันแล้วไปเล่นที่เกอเธ่ท์ให้ฝรั่งดู เค้าไปทำของเค้าเอง และอานิสงฆ์อันนั้น พอเราเรียนจบ ในขณะที่เรายังเคว้งคว้างจะไปเรียนต่ออะไรดีวะ ไปทำอะไรดีวะ คือไอเดียพี่ตลกมาก คือสมัยก่อน… สิ่งที่ขอที่ขอที่บ้านเรียนคือไปเรียนทำผม คือเราไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี รู้แต่ว่าทำงานออฟฟิศไม่ได้แน่ๆ และถ้าไปเรียนปริญญาโทเกี่ยวกับด้านภาษา ก็ต้องกลับมาเป็นอาจารย์เหมือนกับนักวิชาการ ซึ่งเราตระหนักว่าไม่ใช่ กูทำไม่ได้ เคยไปช่วยเพื่อนทำงานหนังสือ เพื่อนรุ่นพี่ เค้าเห็นอยู่เฉยๆเค้าก็เลยชวนไปทำหนังสือ ไปทำได้อาทิตย์เดียว เช้าวันนึง ก่อนออกจากบ้านจะขึ้นรถ อยู่ ๆ แล้วพี่ก็นั่งน้ำตาไหล แล้วแม่ก็มาถามว่าเป็นอะไรลูกใครทำอะไรลูก จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไร แต่พี่รู้สึกคับข้องใจว่าพี่ทำไมต้องตื่นแต่เช้าไปออฟฟิศ ก็คือทำหนังสือได้อาทิตย์เดียวเอง ทุกคนตกใจมากทั้งที่งานหนังสือเป็นงานที่สบายๆไม่ได้ยุ่งยากอะไร และก็ไม่ได้สมัครด้วย เกิดมาไม่เคยสมัครงาน ก็เลยบอกไม่รอดแน่ๆ ก็จะกลับไปเรียนทำผม ทุกคนก็ทำไมเกิดอะไรขึ้น แต่จริงๆแล้วพี่จะเป็นคนหัวสมัยใหม่ เพราะว่าสมัยนั้นพี่จะมีความรู้สึกว่าถ้าเราเรียนหนังสือดี สมัยนั้นพวกพี่ม้าก็ยังไม่ได้กลับมาดัง ยังไม่มีอะไรที่แบบว่า..
ถาม : ยังไม่มีตัวอย่างไม่มีแบบ
ตอบ : ใช่ แต่พี่คิดเอาเองว่า ถ้าสมมติว่าพี่จบจุฬา แล้วไปเรียนตัดผมที่ฝรั่งเศสกลับมา แม่ง... ยังไงต้องได้วะ คือแบบว่าด้วย look ด้วย image ด้วยอะไรแบบนี้ แม่งต้องได้วะ
ถาม : คือมองช่องทางหรือมองการตลาดไปด้วย
ตอบ : ใช่ๆ คือแบบว่าไม่มองความสามารถตัวเอง มองช่องทางด้านตลาด มอง image มองการวางสินค้า ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีหัวการค้าไม่มีอะไรเลย แต่อนิจจาไม่มีใครในบ้านเห็นด้วย แล้วพี่ก็มานั่งคิดว่าจะทำอะไร ดีที่แม่ ที่บ้าน ค่อนข้างจะปล่อย ก็ตามใจ และก็ปล่อยมันเที่ยวเล่นไปวันๆ ออกไปนู่นนี่เที่ยวเล่นไป 1 ปี จนกระทั่งไปเจออาจารย์ชลประคัลภ์ ครูช่าง ทำละครเวทีที่มณเฑียร ซี่งทำไมก่อนหน้านี้ไม่ไปก็ไม่รู้ อยู่ๆก็ไปนั่งดู เค้าก็บอกว่า ผอูนหายไปไหนวะ ตามหาก็ไม่เจอ หายไปไหนทำไมไม่มาช่วยกูเล่น ก็เลยชวนมาเล่น
ถาม : ครูช่างของพี่ปุ๊ยนี่ก็คืออาจารย์
ตอบ : ใช่ แล้วก็มณเฑียรทองเธียเตอร์ตอนนั้นมันก็เป็นรุ่นแรกๆเลย พวกครูช่างเป็นคนบุกเบิก แล้วก็ชวนไป เล่น พอไปเล่นดันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จ ตอนนั้น Entertainment วงการมันแคบมาก หรือที่พี่บอกว่า จบก็ไม่คิดว่าจะมีงานทำ แต่ว่ารุ่นก่อนหน้าพี่ คือรุ่นพี่ตุ๊ก ญาณี พวกครูช่าง ครูแอ๋วอรชุมา เกิดอะไรก็ไม่รู้ เค้าเข้าไปในช่องทางที่เข้าไปในวงการโทรทัศน์ ทีนี้ก็ชวนกันเข้าไป เป็นรุ่นที่แบบว่าแทรกซึม ในขณะที่พี่เล่นละครเวทีอยู่นั้น ที่มณเฑียรทองเธียเตอร์ก็มีครูเล็ก ภัทราวดี และก็พี่แหม่ม พิไลวรรณ บุญล้น ที่อยู่ JSL ก็มาดูและก็ชอบมาก ครูเล็กก็ชวนไปเล่นละครโทรทัศน์ของไนท์สปอต พี่แหม่ม พิไลวรรณก็ชวนมาเล่นละครวิก 07 ซึ่งเป็นตอน ๆ คือเล่นตอนแรกก็ได้รางวัลเลย พอกลับมาคลุกคลีกับพี่ๆน้องๆ พี่ตุ๊ก ญาณี พี่แอน ทิพย์ธิดาที่เค้าเขียนบทอยู่ช่อง 7 ก็เลยกลายเป็นแบบว่าในขณะเล่นละคร เป็นครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาในวงการบันเทิงเต็มตัว เมื่อเราเล่นละครแล้วได้เงินมันก็ถือว่าเป็นอาชีพแล้วละ ก็เล่นของครูเล็ก ภัทราวดี แล้วก็เขียนบทให้ช่อง 7 ไปด้วย
คือตอนที่ทำละครของชั้นปีที่อักษรแล้วประสบความสำเร็จมันก็เป็นการบังเอิญ ไม่อย่างนั้นพี่ก็จะทำแค่การเป็นนักแสดงเฉยๆ แต่อยู่มาวันหนึ่ง อาจารย์คนิต คุณาวุฒิ ลูกคุณวิจิตรเค้าไปเป็นผู้บริหารของไนท์สปอต และภรรยาเค้าเป็นเพื่อนกับพี่ คือมันเป็นนางเอกละครที่พี่เคยเขียนบทชวนมาทำงาน พอภรรยาของอาจารย์คนิตย์เนี่ยเขาพูดว่า ไอ้ปุ๊ยไง มันทำไอ้นู่นได้ ไอ้นี่ได้ คุณนิตก็เลยชวนมา แต่ไม่ได้ในฐานะนักแสดง เริ่มทำงานเบื้องหลังแล้ว เริ่มเขียนบท เริ่มทำนู่นทำนี่ ถึงจะไม่ใช่พนักงานประจำแต่เราก็ถูกวางตำแหน่งเหนือกว่านักแสดงปกติ คือช่วยคิดพล็อต ช่วยคิดอะไรต่ออะไร
ถาม : จริง ๆ แล้วเป็นคนมีพลังแฝงเร้น
ตอบ : ใช่ ใช่
ถาม : อาจจะยังไม่รู้
ตอบ : ไม่รู้ตัว
ถาม : แสดงว่าจู่ๆก็พลิกมาเป็นนักขียนได้
ตอบ : ก็การเรียนเราก็ต้องเรียนเขียนบทอยู่แล้ว และพี่เป็นคนชอบเขียนหนังสือมากตอนเด็กๆ รู้สึกว่าเราต้องเอาดีทางนี้แน่ๆ เป็นคนที่เขียนจดหมายสนุก ชอบเขียนหนังสือ แบบว่า...
ถาม : ทำหนังสือห้อง...??
ตอบ : ใช่ๆ ทำหนังสือห้อง เป็น บก.ตลอดเวลา หนังสือกลุ่มตอนอยู่อักษรก็เป็นเพื่อนกันที่เตรียม และก็มาอยู่อักษรด้วยกันหมด ค่อนข้างจะกลุ่มใหญ่ วันดีคืนดีก็นั่งทำหนังสือกัน ทำหนังสืออ่านในกลุ่ม เราก็จะทำอย่างนี้มาตลอด เราเลยรู้สึกว่า จริงๆ งานเขียนบทน่าจะเป็นงานที่เราถนัดด้วยซ้ำ ตอนเด็กพี่ไม่ค่อยได้แสดง ด้วยคาแรคเตอร์ของตัวเองที่ไม่เหมาะกับงานแสดง ตอนเด็กๆเพราะว่าพี่เหมือนทอม จะเป็นแบบว่าเบอะๆห้าวๆ ไม่กระแดะไม่มีจริต แต่พอมาเล่นละครเรื่องแรกก็ได้บทที่ตรงข้ามกับตัวเองมาก คือเป็นสาวหน่อมแน๊มปัญญาอ่อน ตายละ มันยากจังเลย กูจะเล่นยังไง เมื่อเล่นได้มันกลายเป็นแบบว่าเปิดชีวิตเราออกมาเลย
ถาม : พลังแฝงเยอะ เหมือนกับว่ารอการปลดปล่อย
ตอบ : ใช่ ค่อยๆเปิดออกมา
คำถาม : ในยุคนั้นเนี่ยคือว่าไนท์สปอตถือว่าดังและประสบความสำเร็จกับการทำรายการทีวีด้วย
คำตอบ : ใช่คะ ตอนนั้นดังมาก มีสาธรดอนเจดีย์ บนถนนสายเดียวกัน ผู้พิทักษ์ความสะอาด เทวดาตกสวรรค์อะไรอย่างนี้ มันจะเป็นแบบว่าท็อปฮิต แบบว่าคลื่นลูกใหม่ของวงการ เราโชคดีมากที่ไปอยู่ตรงนั้น เป็นสิ่งที่พี่พูดตลอดเวลาว่าสงสารเด็กรุ่นนี้ พวกพี่โชคดีชนิดที่ เอ่อ...สมัยนี้ถ้าคุณจบปริญญาตรีแล้วคุณไม่มีประสบการณ์อะไรมาเลย คุณอย่าหวังว่าคุณจะได้เริ่มเขียนบทด้วยตัวเอง คุณจะได้เข้ามาเป็น Creative หรืออะไรอย่างเนี่ยโดยที่ไม่มีคนสกรีนแล้วสกรีนอีก แต่พวกพี่แบบว่า เฮ้ย...ทำเลย อยู่ๆก็แบบว่าเฮ้ยเด็กเนี่ยเพิ่งจบมาแล้วกลายเป็นเขียนบทแล้ว on air เลยมันตื่นเต้นมาก โดยที่ไม่มีผู้ใหญ่สกรีนกันให้เท่าไรเลย แต่เค้าก็แค่อ่านกัน แล้วบอกว่า เออ...ใช้ได้ๆอะไรอย่างนี้ ซึ่งแค่เนี่ยก็ น่ามหัศจรรย์ใจ มี บางคนแบบว่าไปไกลกว่านั้น จบมาแล้วได้กำกับเลย ได้มีโอกาสกำกับละคร ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เป็นรอยต่อของยุคพอดี เลยได้ลอยหน้าลอยตามาจนถึงทุกวันนี้ โชคดีจริงๆ โชคดีมากๆ
คำถาม : แต่จะเป็นโชคดีอย่างเดียวก็ไม่ได้ คงต้องขึ้นอยู่กับความสามารถด้วย
คำตอบ : ก็เมื่อเรามีวาสนา มีโอกาส มีโชคมาถึงแล้ว เราก็ต้องทำมันให้ดีที่สุด โชคดีด้วยที่คนรุ่นพี่นี่มีหลายคนเลยที่ยังอยู่ในวงการนี้ มันเป็น ...ไม่รู้ว่ารักดีหรือว่าได้รับการศึกษา อบรมที่ดี แล้วก็มีอาจารย์คอยดูแล เพราฉะนั้นทุกคนเนี่ยค่อนข้างจะมีฝีมือที่ดีและใฝ่หาความรู้อยู่ทุกวัน ก็เลยประคองตัวเองอยู่ในวงการนี้ได้
คำถาม : ส่วนตัวนี้พี่ปุ๊ยเป็นคนยังไง
คำตอบ : ส่วนตัวพี่เหรอคะ พี่เป็นคนค่อนข้างซับซ้อนมาก มันเหมือนมีหลายแง่มุม หลายไดเมนชั่นมากอยู่ในตัวพี่เอง ซึ่งแม้แต่ พี่เองบางทีก็ไม่รู้ว่าพี่เองเป็นคนยังไงกันแน่ บางPARTพี่จะเป็นคนดุจะดูน่ากลัว บางครั้งพี่จะนิ่ง จะเงียบ บางPART พี่ก็เป็นคนเป็นตัวตนของตัวเองจริงๆ บางPARTพี่ก็บ้า บ้ามาก ไม่นึกว่าจะบ้าได้ขนาดนี้ สนุกสนานร่าเริง เฉื่อยๆ โง่ๆ เป็นคนโง่มากๆสำหรับหลายๆเรื่อง แต่ว่าบางPARTก็เอ๊ะอะไรทำไมมึงถึงทำได้พี่เองก็ไม่เชื่อว่าพี่เองจะทำอะไรบางอย่างได้งานการอะไรอย่างนี้ งานบางชิ้น เคยมีคนรู้จักพี่ตั้งแต่เด็ก ๆ บางคนนะคะพี่เคยไปขอสถานที่เพื่อถ่ายทำละคร เค้านั่งดูแล้ว เขาบอกว่าไม่อยากเชื่อเลยว่าจะทำงานได้ ตอนเด็กๆพี่จะแบบว่าไม่ได้เรื่อง เละเทะที่สุด พี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าตกลงพี่เป็นยังไงกันแน่(หัวเราะ)
คำถาม : ที่พี่ปุ๊ยบอกว่าตอนที่พี่ปุ๊ยพูดถึง งานแสดง เขียนบทกำกับละครต่างๆ เนี่ยซึ่งเป็นงานที่เราชอบที่สุด แล้วถ้ามารวมในส่วนของหนังเข้าไปกับหนังเรื่องแรกอย่างTHE LETTER พี่ปุ๊ยมองงานในส่วนตรงนี้อย่างไรบ้าง
คำตอบ : เรื่องTHE LETTER นี้หรือคะ จริงๆมันเป็นเรื่องแรกของเรา พี่คิดว่าสำหรับตัวพี่เองยังไม่100เปอร์เซ็นท์เท่าไหร่
คำถาม : หมายถึงชอบไม่ชอบ...
คำตอบ : ไม่ใช่คะ พี่หมายถึงในเรื่องความสามารถในการทำพี่รู้สึกว่าบางทีมันเหมือนกับว่านี่คือสิ่งที่เรากำลังอยู่ในช่วงของการเรียนรู้ อันนี้พูดอย่างจริงใจนะคะ พี่มองว่าสำหรับในเรื่อง THE LETTER สิ่งที่ชัดเจนมาก ๆ ใน ความรู้สึกเราคือ เรื่องนี้มันได้ในแง่ของความดิบมาก ๆ พี่รู้สึกว่ามันสดมาก ๆ ที่เราจะทำตรงโน้น ทำตรงนี้ ซึ่งเพียงทว่ามันอาจจะผิดหลักผิดทฤษฎีไปบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เราตัดสินใจกันว่า เราจะทำเรื่องนี้โดยไม่มี story board พูดจริงๆแล้วในความรู้สึก พี่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันเหมาะกับพี่มาก ๆ เนื่องจากหนึ่งมันเป็นเรื่องรัก สองมันเป็นหนังที่เล่าด้วยการแสดงนำเทคนิค เพราะฉะนั้นคือไม่ว่าจะเป็นละครหรืออะไรทั้งหมดที่พี่ทำมา เหมือนจุดขายจุดเด่นในตัวของพี่ก็คือ พี่ใช้การแสดงนำเทคนิคทั้งหมด คือจะให้ความสำคัญของนักแสดงและการแสดง ผู้กำกับหลายๆคนอาจจะเก่งไปที่การเอาเทคนิคช่วย หรือการเล่าเรื่องด้วยการใช้เทคนิค แต่พี่ไม่เก่งเทคนิค ดังนั้นเรื่อง The Letter เนี่ย......เออ มันเป็นเรื่องที่โคตรเหมาะกับเราเลย และก็ได้นักแสดงที่ดีด้วย ที่เก่งด้วย พี่จะบอกกับทีมงานทุกคนว่า ถ้าบางทีพี่missอะไรไปในแง่เทคนิคเนี่ย ก็ช่วยบอกกันด้วย อย่างในการทำงานซีนเนี่ย ก็ต้องคุยกับDP (DIRECTOR OF PHOTOGRAPH) ในเรื่องของมุมภาพหรือทางเทคนิคว่าเป็นไง ได้ไหมถ้าพี่จะให้นักแสดงเล่นแบบนี้ ทางภาพทางเทคนิคจะเกิดขึ้นได้ไหม ทีมงานก็ช่วยกัน
คำถาม : พอจำได้ไหมมาถึงตรงนี้กี่ปีแล้วกับการทำงานในวงการภาพยนตร์
คำตอบ : โห... ตั้งแต่ 2528 โอโฮ้แก่มากเลยเนอะ
คำถาม : ก็เคยดูพี่ปุ๊ยตอนเด็กๆเหมือนกัน
คำตอบ : อะไรจะแก่ขนาดนั้น ไม่คิดว่าตัวเองแก่ขนาดนี้
THE LETTER ชะตาที่กำหนดไว้ ให้ ผอูน จันทศิริ ผู้กำกับเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกเลือกโดย ดวงกมล ลิ่มเจริญ
คำถาม เป็นไงมาไงผอูน จันทศิริถึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับโปรเจ็คต์ The letter ได้
คำตอบ จริงๆแล้วตัวพี่กับอ้อม ดวงกมลเนี่ยนะคะ ไม่รู้เป็นยังไง คือตัวพี่เป็นรุ่นพี่อ้อม 2 ปี สมัยเรียนก็ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่ ก็เห็น ๆ หน้ากัน แต่ด้วยความที่คนเรียนละครมันมีไม่กี่คน คือพี่เรียนโทละคร ส่วนอ้อมเรียนเอก คือคลาสปี 1 ถึงปี 4 มันจะเรียนคละกันอยู่แล้ว คลาสนึงก็ 7-8 คน ก็จะเห็นหน้ากันอยู่ แต่พอเรียนจบมาปั๊บพี่ก็เริ่มมาทำงานให้ไนท์สปอต แล้วอ้อมมันจบมาพอดี คือช่วงที่พี่จบเนี่ย พี่ว่างมา 1 ปีก็ไปเที่ยวเล่น และก็ไปเล่นละคร จนอ้อมจบก็มาเจอกัน ก็มาสนิทกันที่ไนท์สปอต การทำงานที่ไนท์สปอต อ้อมเค้าจะทำงานประจำ ส่วนพี่นี่จะฟรีแลนด์ มันจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดชีวิต คือพอย้ายไปทำอะไรมันจะต้องมาเจอกันอีก คือว่าพออาจารย์คนิต ออกจากไนท์สปอตและมาตั้งบริษัทเอง อ้อมเค้าก็เลยมาเป็นผู้ช่วยคุณนิต พี่ก็เลยแบบว่าไปช่วยทำสารคดีทำอะไรอีก แล้วก็บังเอิญจริง ๆที่พอพี่อ้อมไปอยู่ JSL ตอนนั้นพี่ก็เป็นนักแสดงเต็มตัว ก็ไปเล่นละครให้กับ JSL และก็ไปเจอกันอีก แล้วมันก็จะเป็นอย่างนี้มาตลอดคือพี่จะนำอ้อมมันมาก่อน คือพี่มาสนิทกับคุณบอย ถกลเกียรติ ที่เอ็กแซกท์ เขาก็ชวนมาช่วยเขียนบทและก็แสดง ส่วนพี่อ้อมก็มาทำงานประจำที่เอ็กแซกท์น่ะคะ คือมาเป็นผู้ช่วยพี่บอย พอหลังจากนั้นอ้อมก็ออกจากเอ็กแซกท์มาอยู่แกรมมี่ ก็ยังเจอกันอยู่ ก็คือกลายเป็นเพื่อนสนิทกันโดยปริยาย แล้วพี่อ้อมไปเมืองนอกไปเรียนต่อก็สัญญากันว่าเออเราจะไปนะ แต่ตอนนั้นพี่ก็เพิ่งมากำกับปีแรก ว่าจะไปเรียนคอร์สด้วยกัน งานยุ่งก็เลยไม่ได้ไป หักหลังมัน มันก็เขียนจดหมายมาด่าตลอดเวลา เสร็จแล้วพอกลับมาอ้อมเค้าก็เข้าวงการหนัง เป็นครั้งแรกที่เราแยกจากกัน และพี่อ้อมเนี่ยก็พูดตลอดเวลาว่ามาเถอะมาทำงานด้วยกัน เวลาไปเมืองนอกจะได้มีเพื่อน อย่างที่พี่พูดก็คือจริงแล้วสิ่งเดียวสิ่งแรกที่พี่อยากทำมาก ๆ ในชีวิตก็คืออยากทำหนัง ก็คืออยากไปเที่ยวเมืองนอกด้วยกัน คือเวลามีเทศกาลหนัง คือจริงๆพี่เป็นคนติดเพื่อน อะไรที่แบบว่ามีเพื่อน แต่ก่อนหน้านี้วงการหนังกับพี่เป็นอะไรที่ห่างกันมาก ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะคะ
คำถาม แล้วเส้นชีวิตมันกำหนดให้พี่ปุ๊ยพาเข้ามาเกี่ยวข้องกับวงการหนังได้อย่างไร
คำตอบ คือตัวอ้อมกับพี่อุ๋ยเขาเข้ามาวงการหนังก่อน เขาก็พยายามชวนมาทำหนังเหมือนกัน แต่ตัวเราไม่สนิทกับ ใคร รู้สึกว่ามันยังห่าง ๆ กับตัวเรา
คำถาม ชวนมาหลายปี ?
คำตอบ หลายปีมาก หลายปีเลย 4 ปีได้… 3 ปี ตั้งแต่กลับไปตั้งบริษัทใหม่ๆ พี่ก็งงๆว่าสำหรับคนทั่วๆไป นนทรีย์เค้าก็เป็นเทพ(หัวเราะ) คือสมัยก่อนเรารู้สึกว่า ใครจะเข้ามาทำงานกับบริษัทฟิล์มหรรษาเนี่ยมันยาก เพราะบริษัทเค้าคงจะต้องเฟ้นเอาคนเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ว่าพี่เป็นอารมณ์แบบว่าเหมือนเด็กเส้น คือเมาๆอยู่คุณอุ๋ยก็บอกว่าคุณปุ๊ยมาทำกับผมเถอะ เราคิดในใจ มึงรู้ได้ไงว่ากูจะทำเป็น กูทำไม่เป็นเว้ย ก็เฮ้ยไม่เอาๆ มีแต่คนบอกว่าโชคดีแล้วนะเค้าชวน พี่ก็แบบว่าก็กูไม่อยากทำน่ะ ทำไม่เป็นน่ะ อะไรอย่างเงี๊ยะ คือว่าที่พี่ตัดสินใจทำจริงคือรู้ว่า พี่อ้อมไม่สบาย แล้วก็วันนึงไปเยี่ยมมันที่บ้าน ตอนนั้นรู้แล้วว่าแย่แล้วแน่ๆ คือจริงๆแล้วพี่อ้อมเค้าชวนไปทำ The letter ก่อนหน้าแล้ว เค้าชวนไปทำหนังไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่ พี่อุ๋ยก็ชวน คือพี่อุ๋ยชวนเนี่ยแบบว่าเรารู้สึกตื้นตัน เพราะพี่อุ๋ยเนี่ยเค้าไม่สนิทกับเราเท่าไหร่ เมื่อหลายปีมาแล้วนะคะ แล้วก็มาแอบชวนลับหลังไอ้อ้อมว่าทำเหอะ ไม่ต้องยุ่งกับคุณอ้อมก็ได้ เค้าคงรู้สึกว่ากลัวทำงานกับเพื่อนแล้วทะเลาะกันหรืออะไรอย่างเงี๊ยะ ผมโปรดิวซ์เองไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับคุณอ้อม แล้วก็ถัดมาจากนั้นสักปีไอ้อ้อมเค้าก็มาบอกว่า พี่ปุ๊ยมีหนังอยู่เรื่องนึง ทำเหอะฉันว่าผู้ชายทำไม่ได้ คือพี่เนี่ยโชคดีในความเป็นผู้หญิงที่ใครๆ บอกว่า การเป็นผู้กำกับหญิงจะมีปัญหา ซึ่งพี่พิสูจน์ตั้งแต่ทำละครแล้วว่า ถ้าเราพบจุดเด่นของมัน มันจะดีมาก เพราะว่าผู้กำกับ 90% ของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นหนังหรือละครนะคะ …95 ไม่ใช่ 90% ในขณะที่ Target ของละครเนี่ย ขอพูดถึงละครก่อน Target คือแม่บ้าน และไม่มีคนที่เข้าใจเค้าอย่างจริงจัง เราได้เปรียบตรงที่เราเป็นผู้หญิง แล้วมันก็พิสูจน์แล้วคือ ละครที่พิสูจน์ทฤษฎีของพี่คือตอนนั้นพี่ไม่เชื่อใครเลย พี่จะลุกขึ้นมาทำมารยาริษยา ในขณะที่นายทุนคือบริษัทเอ็กแซกท์ก็ยังเป็นผู้ชาย เค้าก็บอกว่าไอ้เรื่องอย่างนี้มันยังไงล่ะมันจะได้เหรอ พี่ก็บอกว่าเฮ้ยได้เดี๋ยวกูจะทำ จะใช้การได้เปรียบของการเป็นผู้หญิงทำให้ดู เพราะว่าผู้ชายไม่มีทางเข้าใจผู้หญิงเท่าผู้หญิงใช่ไหมคะ ในเมื่อเราเองเป็นผู้หญิงและรู้ว่าผู้หญิงคิดอะไรต้องการอะไร ว่าเนี่ยคือจุดเด่นของเราแล้วทำไมเราไม่คิดขึ้นมา ว่าทำไมเราไม่จับให้ได้ มันก็เลยเป็นละครที่ประสบความสำเร็จในหมู่ผู้หญิงมากๆ สังเกตุว่าถ้าเมื่อไหร่ที่ผู้ชายทำละครหรือทำหนัง เค้าจะเข้าใจผู้หญิงที่ร้ายคือผู้หญิงที่แสดงออก แต่จริงๆแล้วไม่มีทางเลยสำหรับผู้หญิงด้วยกันแล้ว พวกเรียบร้อยเนี่ยแหละ คือพวกคนร้ายจริงๆคือคนที่นิ่ง แล้วผู้ชายดูไม่ออก แล้วในละครพี่แบบว่าเอาความอัดอั้นใจทุกอย่างของผู้หญิงออกมา ในละครมันจะพูดว่า ผู้ชายมักจะปกป้องผู้หญิงที่มีความบอบบาง แบบว่า…ฉันผิดเอง…อย่าไปว่าเค้า แต่ยัยนี่ยแหละเป็นตัวร้ายเลย ในขณะที่นางเอกเป็นคนเจ้าอารมณ์มาก มีอะไรก็วี๊ดว๊าย และผู้ชายจะเกลียด ยัยเนี่ยแหละเป็นคนดี ซึ่งแบบว่ากลายเป็นตัวแทนของผู้หญิงทั้งหมด ผู้หญิงทุกคนชอบเรื่องแบบนี้ ผู้หญิงทุกคนรู้สึกว่าไอ้เนี่ยถูก แบบว่าลุกขึ้นมาเป็นเพียงดาวกันทั้งประเทศ เราก็เลยมั่นใจในศักยภาพของตัวเอง คือถ้าเมื่อไหร่ที่มีเรื่องของผู้หญิงๆ ถ้าคุณอยากขายอะไรของผู้หญิงบอก เพราะฉะนั้นไอ้อ้อมมันก็เลยรู้สึกว่า เนี่ยถ้าเป็นหนังรักที่ทำให้ผู้หญิงดู ถ้าพี่ทำมันน่าจะดีกว่าที่ผู้ชายทำ เพราะผู้ชายทำเค้าจะบอกว่าไม่ได้ เรื่องมันจืดชืดเกินไป ถ้ามันไม่มีอะไร ในขณะที่ผู้หญิงจะรู้สึกว่าความรักอย่างเดียวเอาอยู่ ถ้าเป็นรักที่ละเมียดไม่อี๋ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในขณะที่มันพยายามเล่า โน้มน้าวให้พี่ฟังเกี่ยวกับเรื่อง The Letter พี่ก็บอกว่าไม่เป็น อย่างนู้นอย่างนี้ จน เมื่อปีที่แล้วพอรู้ว่าพี่อ้อมไม่สบายปั๊บ แล้วมันก็จะเป็นแบบว่ามีข่าวทยอยออกมาเรื่องๆว่ามัน....ไม่สบายมากทีแรกเราก็รู้แค่ว่ามันป่วย แต่เราก็เริ่มใจเสียแล้ว แล้ววันนึงพี่ก็ไปเยี่ยมมันที่บ้าน พี่สามารถรับรู้ได้ด้วยเซนต์ของตัวเอง ในขณะที่มันยังไม่รู้ว่าตัวเองป่วยขนาดไหน พี่ดูสีหน้าพ่อแม่มันพี่พอจะรู้ และก็ในขณะที่นั่งอยู่บนเตียงกับมัน อยู่ๆมันก็หันมามองบอกว่าพี่ปุ๊ยเนี่ยอ้อมมีเรื่อง The letter ที่อยากให้ทำ แล้วมันก็เล่าให้ฟังฉาก ๆ หนึ่งเป็นฉากที่พระเอกกำลังจะตาย แล้วพี่ก็เข้าใจแล้วว่ามึงทำไมอยากให้กูทำเรื่องนี้ คือก่อนหน้านั้นมันไม่ได้ตั้งใจ แต่ตอนนี้มันตรงกับตัวมันหมด แล้วพอฟังพี่ก็ไม่ได้หันไปมองมันเพราะรู้ว่ามันกำลังร้องไห้อยู่ และพี่ก็แบบว่าเออทำก็ทำ คือแบบว่าถ้าไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำตอนไหนแล้ว พอพี่บอกว่าทำปึ๊บ ภายในสักเดือนสองเดือนก็คุยกับคนเขียนบท ซึ่งก็แบบว่าเหมือนฟ้าบันดาลมาก คือทีแรกอ้อมก็ถามว่าจะเขียนบทเองรึเปล่า พี่ก็บอกว่าสำหรับพี่เองก็ไม่แม่นเรื่องหนัง แล้วก็ถ้าสมมติว่าเราเขียนเอง ตอนนี้กลายเป็นแบบว่าพี่เริ่มรู้สึกว่าเราอาจจะอายุเริ่มเยอะไปนิดสำหรับคนรุ่นใหม่ ถ้าได้คนรุ่นใหม่เข้ามาเขียนและเราเบลนด์ให้เข้ากับเราให้ได้มันจะกลายเป็น ทางใหม่ ก็เลยแบบว่าไม่เขียนดีกว่า ลองหาคนอื่นมาเขียน อ้อมก็บอกว่าเนี่ยสนใจคงเดช เพราะดูเรื่องสยิวแล้วรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีอะไรมาก พี่ก็แบบว่ามันจะได้เหรอ เด็กผู้ชายมันยังไงวะ พอมาเจอกัน ปรากฎว่าพี่กับคงเดชคลิกกันมาก ไม่น่าเชื่ออะไรกันเนี่ย แต่พอคุยกันวันแรกมันแบบว่าใช่เลย พี่สนิทกับคงเดชในเวลาอันรวดเร็วมาก แล้วก็เมื่อคงเดชเขียนบทมา ดราฟท์แรกๆมันก็ยังเป็นเด็กผู้ชายอยู่ แต่ว่ามันมีการปรับและยอมรับซึ่งกันละกัน ซึ่งยากมากในการที่จะเจอคนคลิกอย่างนี้ เพราะว่าทุกคนมันมีแนวและอีโก้ แต่ละคนมันมีกันทุกคนแหละ แต่ว่าการยอมรับในกันและกัน พี่ก็จะอธิบายในแง่ว่าถ้าผู้หญิงคิดก็จะคิดอย่างนี้ หรือว่าถ้าอันไหนที่เค้ามั่นใจ เค้าก็จะดีเฟนด์ของเค้าเองไว้อย่างนี้ๆ ซึ่งมันก็ลงตัวเมื่อ Forward ออกมา พอแก้มาเรื่อยๆมันดีมาก ถ้าคนอ่านเวลาเอาไปโพสต์นักแสดงคนไหนเวลาเค้าอ่านเรื่องย่อเนี่ยร้องไห้กันทุกคน พวกนางเอกทั้งหลาย แต่ด้วยเวลาได้หรือไม่ได้ จนกระทั่งมันก็ใช้เวลาเดินงานค่อนข้างเร็ว ด้วยเนื้อเรื่องที่ไม่ซับซ้อน งานมันก็เลยเตรียมเร็ว แต่ก็มีอย่างหนึ่งที่พี่รู้สึกเสียใจที่แบบว่าพี่อ้อมอยู่ไม่จบเรื่อง ทำให้เรารู้สึกทำไมกูไม่ตัดสินใจเร็วกว่านี้ มันจะได้ดูอะไรอย่างเงี๊ยะ คือเสียดายว่าเค้าไม่ได้อยู่ดู
คำถาม ฟัง ๆ ดูแล้ว นึกถึงการทำงานระหว่างนอร่า เอฟรอนคนเขียนบทกับร็อบ ไรเนอร์ใน ”When Harry Met Sally ที่ไม่ว่าจะเป็น Dialogue หรือวิธีคิดของตัวละครที่รับบทโดยบิลลี่ คริสตัล และเม็ก ไรอันมันมาจากความคิดของผู้หญิง ผู้ชาย มาจากตัวร็อบ ไรเนอร์กับนอร่า เอฟรอน ซึ่งอย่างนี้แทบจะไม่ค่อยเกิดขึ้นในหนังไทยสักเท่าไหร่
คำตอบ ตอนเด็กๆพวกพี่ก็เคยทำนะ ตอนนั้นเจ้าทฤษฎีกันเวลาคิดบทด้วยกัน กำหนด Situation มางี้ แล้วแบบว่าลองพูดแบบนี้เลยว่ามันจะตอบว่าอะไรๆ แต่ว่ามันเป็นการทำงานที่เหนื่อยมากก็เลยครั้งเดียวก็พอ ถ้าเป็นละครมันทำไม่ได้เพราะว่าเวลามันไม่ค่อยได้ มันจมอยู่กับการเขียนบทเป็น 40-50 ชม. อย่างนี้ การทำแบบนี้มันไม่เวิร์คเท่าไหร่ แต่ว่าอยู่กับคงเดชก็ดีคะ สนุก มีโอกาสไปต่างจังหวัดด้วยกันบ่อย เวลาไปดู Location ยิ่งพอเห็น Location มันก็เอามาเปลี่ยนมันช่วยเสริมกัน พอสนิทกันทีนี้มันก็แบบว่าเห็นอะไรไปทางเดียวกันเยอะขึ้นเรื่อยๆ ดี๊ดีเลยอ่ะ
คำถาม ปรับกันนานไหมกับบทภาพยนตร์หลายร่างไหม
คำตอบ ไม่เท่าไหร่นะคะ 6-7 ร่าง
คำถาม ฟังดูแล้วพอเริ่มต้นลุยกับโปรเจ็คต์ ดูเหมือนทุกอย่างราบลื่นไปหมด พูดได้ว่าเหมือนมันเป็นโปรเจคท์ที่ทุกอย่างมันลิขิตไว้ มันเหมือนรอเวลาบ่ม จนมันถึงเวลาแล้วแล้ว ถึงแม้ว่าดูเหมือนพี่ปุ๊ยจะเฉียดไปเฉียดมากับโปรเจคท์นี้ก็ตามแต่ มันเหมือนคนข้างบนกำหนดมาแล้ว นับจากวันแรกอีก 2 ปีคุณต้องทำ
คำตอบ ใช่ ใช่ ใช่ แล้วมันกลายเป็นเรื่องเศร้ามากเลยนะเนี่ย คือแบบว่าด้วยการจากไปของไอ้อ้อม อันนี้พูดถึง คนในนะ ว่ามันยิ่งเอื้อกับหนัง คือแบบว่าทุกคนแม้กระทั่งนักแสดงก็รู้สึกว่า กูเข้าใจอารมณ์แล้ว ว่ามันเป็นแบบนี้เอง คือการที่คนเรารู้วันที่ตัวเองกำลังจะไปมันจะเป็นยังไง มันทุกข์ทรมานใจยังไง เหมือนเป็นบทเรียนให้ทั้งพี่ เองเข้าใจ เวลาคุยกับไอ้หนุ่ม(อรรถพร)พี่จะบอกตลอดเวลาว่า เฮ๊ยมึงเอาประโยชน์จากพี่อ้อม ว่าการที่เรามองคน อื่นแล้วคิดว่ากูจะอยู่ถึงวันไหนแล้วเนี่ย แล้วเค้าจะทำอะไรต่อไปยังไงอะไรอย่างนี้ มันเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ทำให้เราเข้าใจอารมณ์ของตัวแสดงมาก
คำถาม อยากให้พี่ปุ๊ยพูดถึงความรู้สึกของที่มีต่อพี่อ้อมดวงกมล กับโปรเจ็คท์ The Letter
คำตอบ คือจริงๆแล้วเนี่ย พี่เกือบๆจะเป็นร่างทรงของเค้า จริงๆแล้วพี่รู้สึกเหมือนว่าเค้าอยากฝากเรื่องนี้เหมือนกับว่าเค้าอยากให้ Message ในหนังเรื่องนี้คือ Message ที่เค้าอยากจะบอกกับคนจริงๆ และพี่ทำให้มันเกิดขึ้นมาเป็นจริงได้ คือเหมือนกับตอนที่เค้าบอกพี่ว่าทำเรื่องนี้เถอะ มันไม่ใช่แค่จะพูดว่าทำเรื่องนี้เถอะ มันเกือบจะบอกว่าทำเรื่องนี้ให้ฉันทีเถอะ แล้วพี่..เออพี่ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำให้ดีที่สุด เพื่อว่าจะแทนความรู้สึกเค้าด้วย และก็เพราะว่าพี่ทำด้วยความเข้าใจมากกว่า แต่ก่อนหน้านี้พี่อาจจะยังไม่เข้าใจถึงอารมณ์คน แต่พออยู่ใกล้ๆพี่อ้อมในระยะหลังๆทำให้รู้เลยว่า อ๋อ เราต้องคิดอย่างนี้เหมือนกับว่าเป็นตัวเอง บางวันก่อนนอนพี่ก็คิด พี่จะเป็นคนชอบคิดอย่างนี้ แบบว่าเฮ้ยถ้าเป็นเรามันจะเป็นไปได้เหรอ ว่าการที่วันนึงตื่นขึ้นมามีชีวิตจิตใจคิดนู่นคิดนี่ แล้ววันไหนที่เราลุกขึ้นมาแล้วมันสาบสูญไป แล้วมันจะดับสูญไป..มันจะดับสูญไปจริงๆเหรอ คือแบบว่าคิดแทนเค้ามันทำให้เราเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น แล้วก็อยากส่ง Message นี้ให้กับทุกคน เพราะว่าเราเองเกือบจะเป็นเหมือนนางเอกในเรื่องที่แบบว่าคนที่เรารักเค้าจากไป แล้วเราอย่าทำให้การตายของเค้าไร้ค่า มันจะต้องมีอะไรต่อไป มันเป็นเรื่องที่เศร้าไม่อยู่ใน life
คำถาม รู้สึกว่าเหมือนอินกับโปรเจคท์นะ ว่าในท้ายที่สุดเมื่อถึงเวลาปุ๊บมันต้องเป็นแบบนี้ ต้องคิด แบบนี้ ต้องรู้สึกแบบนี้
คำตอบ ใช่ !! และยิ่งพอพี่อ้อมจากไป ก่อนที่จะถ่ายฉากสำคัญ ก่อนที่จะถ่ายฉากที่พระเอกตาย มันแบบว่าทุก อย่าง…มันแบบว่ากรรมสิทธิ์มาก .มันเหมือนกับว่าตรงนี้มันมี ขณะที่ถ่ายทำหนังน่ะคะ มันเหมือนกับมันมีหนัง 2 เรื่องซ้อนกันอยู่ คือในชีวิตจริงมันก็เหมือนหนังในแบบว่าไม่น่าเชื่อพี่ไม่เคยทำงานภายใต้ Situation ที่แบบว่าจะมาใช่ขนาดนี้ แบบว่ามันเหมือนกับคนที่เรารักคนนึง มีชีวิตอยู่แค่นี้ เค้ากำหนดมาแล้ว อยากให้โปรเจคท์นี้สำเร็จ แล้วเราก็ทำๆๆ แล้วเนื้อเรื่องมันเหมือนกันมาก มันเหมือนกับในหนังมาก..มันดำเนินไปพร้อมๆกัน วันนึงคนที่เรารักเค้าจากไปงานก็ยังไม่เสร็จ เนื้อเรื่องในหนังมันก็ดำเนินมาถึงตอนนี้พอดีเลย แต่ว่า..เออ ผู้ชายผู้หญิง 2 คนมาเจอกัน และคนนึงก็รู้แล้วว่าตัวเองป่วย แล้วทำยังไงถึงจะถนอมน้ำใจอีกคนนึงไม่ให้แตกสลายไป โดยที่ตัวเองก็ยังต้องเข้มแข็งต่อไป แต่ว่าตัวเองก็แย่เหมือนกัน แล้วพอพี่อ้อมตายก็จะมาใกล้ๆกับตอนที่พระเอกตาย มับแบบว่า เฮ้ย!!..ทำไมเรื่อง 2 เรื่องมันไปด้วยกันมาก ก็เสียใจที่พี่อ้อมไม่ได้ดู มันก็พูดแต่ว่าอยากดูจังเลย อัดเสร็จเมื่อไหร่เอามาให้ดูด้วยนะ แต่มันก็พูดไว้แต่แรกแล้วว่าสงสัยอ้อมไม่ได้ดูแน่เลย อย่าลืมเขียนอินเมมโมรี่อ้อมด้วยนะ เออ..เราก็อีห่าเอ๊ย มึงไม่ต้องพูดหรอก เวลาถ่ายอะไรอย่างเงี๊ยะเค้าก็ไปดูอยู่ เออ..มันเป็นแบบเหมือนกับเค้าก็อุทิศตัวเพื่อการศึกษา Case Study สำหรับเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน เยอะมาก มีหลายอย่างที่มันทำ พี่ไม่ใช่คนอิดออดรึว่าน้ำเน่า บางทีพี่ก็อธิบายไม่ได้ว่ามันยังไง แต่ว่าอย่างบางทีแบบว่าเหนื่อยมาก ถ่ายทั้งวันทั้งคืน แบบว่าคิวช่วงนึงหนักมาก เดย์ไนท์ ๆ ๆ ตลอด และก็ที่ Production ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ และพี่ก็จำได้เลยว่ามีอีกวันนึง..พอวันไหนที่ได้พักพี่ก็นอน ไม่โทรศัพท์หาใครเลยนอนอย่างเดียว และพี่อุ๋ยก็ไม่อยู่กลับกรุงเทพ พี่ ก็ได้รับ message จากพี่อ้อมถามว่า How are you? พี่ก็รู้สึกผิดมากว่า…ทุกทีพี่ก็โทรหามันเกือบทุกวันไงและ ช่วงนั้นพี่ก็แบบว่า…ตายห่าทำงานลืมโทรหาไอ้อ้อมทำไงดีวะ พี่ก็โทรกลับไปแต่โทรไม่ได้ วันนั้นเป็นวันพักพี่ ก็ส่ง message กลับไปว่า เฮ้ย..ทำไมโทรไม่ได้ แล้วมันก็ส่งกลับมาว่าอยู่โรงพยาบาลไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ออกแล้ว พี่ก็แบบว่าฉิบหายแล้วอยู่โรงพยาบาลท่าจะไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่รู้ยังไง แต่ก็โทรมาบอกให้พี่เหมี่ยว ปวันรัตน์ เป็นคนอีกคนหนึ่งที่สนิทกัน พี่เหมี่ยวก็บอกว่าไม่กล้า เดี๋ยวส่ง message ไปหามันก่อนว่ามันอยากให้ไปเยี่ยมรึเปล่า พวกพี่คือแบบว่าสนิทกันอยากให้เกียรติกัน คือแบบว่ามึงอยากให้กูข้ามเส้นมึงรึเปล่า เสร็จก็วันรุ่งขึ้นพี่ก็ส่ง message ไปถามว่าเป็นยังไงบ้าง กลับบ้านรึยัง มันก็บอกว่ายัง แล้วทีนี้พี่ก็เริ่มสังหรณ์ใจและส่ง message หาพี่อุ๋ยเพราะพี่อุ๋ยอยู่กรุงเทพ พี่อุ๋ยบอกว่าอาการไม่ค่อยดี แต่คงไม่เป็นไรมั้ง อีกวันนึงพี่ก็ส่ง message ไปหามัน ..2 ทุ่มมันก็ยังตอบมา มันก็บอกว่านนทรีย์ไปที่กองก็ถามละกันว่าฉันเป็นยังไง
คำถาม เป็นวันที่ 8 ธันวา….
คำตอบ รู้สึกจะเป็นวันที่ 7 แล้วพอวันที่ 8 พี่ไปถึงกองเนี่ยแบบว่าร่าเริงมาก เพราะว่าบรรยากาศในกอง สนุกสนาน พี่ไปแบบว่า happy สนิทกัน ปรากฎว่าทีมงานรับพี่ได้ก็ดีอ่ะคะ พอเจอหน้าพี่อุ๋ย พี่ก็ถามว่าทำไมมาช้า ตอนเที่ยง..ตอนนั้นไม่มีใครอยู่แถวนั้น เค้าไปกินข้าวเที่ยง หน้าพี่เวลาร่าเริงพี่จะร่าเริงผิดปกติ พี่ก็ถามว่าอ้อมเป็นยังไงบ้างพี่อุ๋ยก็หันมาบอก....ไปแล้ว คือแบบว่าทุกอย่างเป็น Drama มากเลย คือแบบว่าไม่ใช่ชีวิตจริง เออ..อะไรกันวะ เสร็จแล้วพี่จะต้องทำงาน พี่เป็นคนแบบว่ามั่นคงกับชีวิต เวลาเศร้าก็เศร้า แต่ว่างานมันต้องดำเนินต่อไป พี่จะแบบว่าดับสวิตซ์ที่ความรู้สึกตรงนั้น ถึงยังไงเราก็ต้องทำงานต่อ แล้วฉากถัดไปมันเป็นฉากนางเอกอ่านจดหมายพระเอก มันแบบว่า.. เวลาถ่ายมันก็แบบว่าถ้าเมื่อไหร่สมาธิหลุดน้ำตาจะหยดมากเลย ก็ไม่อยากร้องไห้ แบบว่าคนมันก็ทำงานกัน แล้วมานั่งร้องไห้มันก็เท่านั้นแหละ
คำถาม ในกองเค้ารู้ไหมครับวันนั้น ?
คำตอบ เค้ารู้ทีหลัง ทีแรกก็แบบว่าไม่ค่อยมีคนรู้ เค้าก็ไม่อยากบอก แต่ว่าตอนที่เค้าบอกกัน ที่รู้ก็เพราะว่าพี่.. พอพี่รู้จากพี่อุ๋ยพี่ก็แบบว่า ไอ้ห่า เอ๊ยกูจะร้องไห้ต่อหน้าคนกูก็ไม่อยากร้อง ก็เลยขึ้นรถตู้ พอดีมีรถตู้แล้วก็ขึ้นรถตู้กลับไปรีสอร์ทที่พี่พักเพื่อจะไปโทรศัพท์ ก็เป็นช่วงพักเที่ยงพอดี แล้วก็ช่วงนั้นเค้าคงบอกกันเพราะพี่ไม่ได้คุยกับใคร แล้วกลับมาพี่ก็ถ่ายต่อช่วงบ่ายๆ ก็ไปร้องไห้ให้อิ่มก่อนแล้วค่อยกลับมา
คำถาม : แล้วเคยคิดไหมครับว่าตัวเองจะประเดิมหนังเรื่องแรกด้วยหนังรัก
คำตอบ : ถามว่าเคยไม๊ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาทำหนัง แต่พอทำแล้วพี่คิดว่าต้องเป็นหนังรัก คือพี่คิดว่าไปทำหนังแอ็ค ชั่น หนังบู๊ หนังอะไรก็ตาม ด้วยประเภทของหนังแล้วพี่คงทำได้ไม่กี่ประเภท ถ้าเป็นหนังรักก็คงต้องเป็น Romantic comedy เท่านั้นเอง คือมันเป็นความถนัดมันเป็นสไตล์ของเราด้วยจะให้ไปทำอย่างอื่นคงไม่ถนัด
คำถาม : พอรู้ว่าตัวเองต้องมากำกับแล้ว สิ่งที่ผู้กำกับอย่างพี่ปุ๊ยต้องเข้าไปเกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง
คำตอบ : ก็ทำหมดทุกอย่าง หมายถึงว่าอย่างบทก็ทำงานกันอย่างใกล้ชิด เพราะจะได้อย่างที่เราต้องการด้วย หลังจากนั้นในเรื่องของ Location ก็บอกเค้าว่าเราอยากได้แบบไหน ก็เหมือนทั่วๆไป เหมือนที่กำกับละคร ก็คุยและดูในส่วนต่าง ๆ ซึ่งก็จะมีผู้ที่รับผิดชอบโดยตรงในแต่ละฝ่าย
คำถาม : เตรียมงานนานไหม แล้วใช้เวลาในการถ่ายจริงไปทั้งหมดกี่เดือน
คำตอบ : เตรียมงานถ่ายจริงๆเลย เออ...วันนี้พี่ไม่ได้เอาสมุดเล่มนั้นมา พี่จะจดไว้เลยว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ได้คุย กับคงเดช วันนี้เป็นวันแรกที่ต้องประชุมกับทีมงาน และก็อันนี้แบบว่าจะต้องไปดู Location พี่จะจดไว้หมด คือเริ่มถ่ายจริงๆคือเดือนพฤศจิกายน แล้วก็เสร็จมกราคม ใช้เวลาไม่มากเท่าไหร่
คำถาม : ในส่วนของ Location ตั้งใจไหมว่าจะต้องเป็นดอยอ่างขาง
คำตอบ : ทีแรกไม่ได้ตั้งใจนะคะ ทีแรกตั้งใจว่าเป็นน่าน อยากเป็นเมืองที่ไม่ใช่เชียงใหม่ คือพี่เป็นคนทำงานจริงๆแล้วไม่ค่อยได้ออกต่างจังหวัด พี่รู้สึกว่าเชียงใหม่คนเห็นกันเยอะแล้วทีแรกเลย ก็ไปเอาจังหวัดน่านหรืออะไรไหมเห็นเค้าว่าสวยกัน แต่ว่าพี่เอกไปดูแล้วเค้าบอกว่าเค้าสามารถหาเชียงใหม่ในพาร์ทที่ไม่มีใครเคยเห็นได้ และด้วยความสะดวกของการทำงานในเชียงใหม่สะดวกกว่า และพอไปดูคือแบบว่าในเชียงใหม่ที่เราถ่ายเนี่ยเป็นเชียงใหม่ที่คิบมากๆ ไม่มีแบบว่าริมปิง ไม่มีอะไร เป็นแบบว่าบ้านน๊อก...บ้านนอก เป็นแบบว่าเชียงใหม่ 30 ปีที่แล้ว ...30-40 ปีที่แล้ว รวมทั้งบนอ่างขาง คือโจทย์มันคือพระเอกเค้าทำงานสถานีเกษตร ก็ไปดูหลายที่คะ พอไปดูอ่างขางเนี่ยมันมีหลาย Location ที่ดูดิบ เราจะไม่เห็นสวนดอกไม้ จะไม่เห็นอะไรสวยๆ แบบหนังท่านทิพย์อะไรอย่างเนี่ย(หัวเราะ) คือเราจะเป็นแบบว่าจะเป็นป่าๆเป็นความสวยในความดิบมากกว่า
คำถาม : สวยแบบไม่ค่อยปรุงแต่งไม่ประดิษฐ์
คำตอบ : เออดูแล้วรู้สึกว่า เอ่อ...ตรงอ่างขางนี่มันดีกว่า ดูแล้วเราก็ไปมาร์คว่าถ่ายตรงไหน ซึ่งก็เลือกถ่ายในจุดที่ไม่ค่อยมีคนเห็น คือไม่ได้ถ่ายตรงที่นักท่องเที่ยวเค้าจะเห็นมันมากมายนัก
คำถาม : ส่งผลให้การทำงานยากลำบากไหม ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง เอย การนั่งรถไป หรือเซ็ทโลเกชั่น
คำตอบ : เออ...ไอ้การทำงานอย่างเดียวที่ทรมานคือความหนาว เพราะเราดันถ่ายหน้าหนาวคือว่ามันจะสวยกว่าหน้าอื่นๆ ก็...สิ่งเดียวที่ยากลำบากในการทำงานก็คือต้องต่อสู้กับความหนาว ยิ่งตอนกลางคืนคือแบบว่าหนาวบางทีหนาวจนแบบว่าไม่รู้จะทำยังไง เอาผ้าเผ้อมาห่มกัน ยิ่งสงสารนักแสดง เนื่องจากบางฉากมันเป็นระยะเวลาในหนังนี่มันเป็นช่วงเวลา 1 ปี เพราะฉะนั้นบางทีมันก็ต้องเป็นช่วงหน้าร้อน พอจะถ่ายมันก็ต้องถอดเสื้อหนาวออก แต่ว่าหลายครั้งที่เทคก็เพราะว่าพระเอกปากสั่น แบบว่าพูดไปก็เออเสียงสั่น พี่ก็จะบอกหนุ่มตลอดว่า ไอ้ห่า...มึงอดทนหน่อยสิ เป็นเรื่องในเมืองไทยมั้งที่ ต้องถ่ายหลบ ไม่ให้เห็นควันออกจากปาก อือ..ก็สนุกดี แต่ลำบากอย่างเดียวที่ลำบากมากๆ นอกจากอากาศหนาว คือไอ้ฉากต้นไม้สวยงามเนี่ย มันเป็นต้นไม้ที่พี่เอก เอี่ยมชื่นมันสร้างขึ้น มันต้องเดินลงจากทางเส้นใหญ่ข้ามเขาไปสองลูกถึงจะถึง ก็เฮ้อ...เดินกันจนปากเขียว กว่าจะไปถึง และก็ถ่ายได้ถึงแค่พอเย็นๆ และหน้าหนาววันนึงสั้น พอใกล้จะมืดก็แบบว่าพวกเรากลับกันเถอะเดี๋ยวข้ามเขาไม่ทัน เดี๋ยวมืดกลางทาง มันเป็นความเหน็ดเหนื่อยกับความขำเพราะว่าอารมณ์ดีกันทุกคนเดินไปก็ขำกันไป พี่จะเป็นแบบว่าปล่อยฉันไว้ที่นี่ฉันไม่ไหวแล้ว
คำถาม : แล้วนักแสดงเป็นยังไงบ้าง อย่างนี้ก็ต้องบินขึ้นบินลงตลอด
คำตอบ : ใช่คะ บินขึ้นบินลงตลอด แต่เค้าก็ให้เวลาเราเยอะ ทำให้การถ่ายทำค่อนข้างรวดเร็วเพราะว่าเขาอยู่กับเราเยอะ
คำถาม : มีครบพร้อมถึงองค์ประกอบของความเป็นหนังโรแมนติก ภาพสวย วิวดี เพลงเพราะ และที่สำคัญว่ากันว่านักแสดงเล่นดีมาก
คำตอบ : จริงๆแล้วคือพี่จะมีความรู้สึกว่าเรื่องนี้นักแสดงเล่นกันดีเหลือเกิน เพราะว่านอกจากภาพสวย วิวดี วิวก็สวยมากๆ แล้ว พี่ว่านักแสดงเค้าเล่นกันเก่งมาก ตอนแรกยังไม่เห็นที่ตัดต่อไปแล้ว เลยไม่รู้ว่ามันเยอะเกินไปรึเปล่า เพราะกลัวมากคือหนังกับละครมันมีอะไรแตกต่างกันเยอะเหมือนกันถ้าเราตัดสินด้วยการดูมอนิเตอร์ ซึ่งดูไม่ค่อยถนัดเพราะมันเล็กมากและมันมืด พี่ไม่รู้ว่ามันพอดีรึเปล่า แต่ว่า ณ วันที่ดูตอนถ่ายนี่แบบว่า โอ้โฮแม่ง...มันมหัศจรรย์มาก เล่นเก่งจังเลย เล่นดีจังเลย เป็นสิ่งที่ดีมากๆ
คำถาม : แต่ในที่สุดก็ปิดกล้องไปเรียบร้อยด้วยดี จากองค์ประกอบทั้งหมดที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องและทำออกมาเป็นหนังเรื่อง The letter โดยส่วนตัวพี่ปุ๊ยรู้สึกอย่างไรกับโปรเจ็คต์นี้
คำตอบ : เออ...สำหรับพี่คิดว่าวิญญาณของหนังเรื่องนี้แรง คือด้วยใจเหมือนกับพี่โชคดีมาก นอกจากทีมงานหรือนักแสดงหรืออะไรอย่างนี้ พี่รู้สึกว่ารักหนังเรื่องนี้มาก เค้าให้ใจกันมากเลย อย่างหนุ่มเหมือนเค้าก็เป็นพระเอกเต็มตัวเรื่องแรก เป็นพระเอกนำเดี่ยว เค้าก็เต็มที่เกี่ยวกับสิ่งที่เค้าจะต้องพิสูจน์ แล้วรักมันมาก แอนนี้เค้าก็ไม่เคยไม่ได้รับหนังนี่นานมากแล้ว แล้วก็เรื่องนี้เค้าก็เต็มที่เพื่อที่จะกลับมาอีกครั้งในหนัง และเค้าก็ทุ่มเทและก็ทำการบ้านอย่างดีมาก เราก็รู้สึกว่าทุกคน พอทุกคนแบบว่ามาด้วยสปิริตมันก็ออกมาดี ไม่ใช่แค่นักแสดงสองคน หมายถึงว่าแทบทุกคนรวมทั้งผู้กำกับภาพ (นฤพล โชคคณาพิทักษ์) ก็จะแบบว่าโอ้โฮทุ่มเทกันสุดๆ คือบางอย่างรวมทั้งตัวพี่ด้วย แม้ประสบการณ์ในการกำกับหนังเราอาจจะอ่อน หรืออะไรแบบนี้ แต่ว่าวิญญาณเต็มเปี่ยมมาก แบบว่าสปิริตแรงมาก ไอ้นี่เอาไงเอากัน เอาไงเอากันตลอด พี่เลยรู้สึกว่าทุกคนรักหนังเรื่องนี้มาก มันก็เลยแบบว่ามีใจแล้วพี่คิดว่าบรรยากาศในการทำงานและสปิริตในการทำงานมันจะปรากฏออกมาในหนัง พี่เชื่ออย่างนั้นว่ามันจะปรากฏออกมาว่าไม่ใช่การมาทำงานเฉยๆมันเป็นการทำงานที่อบอวลด้วยความตั้งใจดีและความรักอยู่ในหนัง
คำถาม : ทำไมถึงวางตัวละครให้นางเอกเป็นโปรแกรมเมอร์เกี่ยวกับเวปไซด์
คำตอบ : อย่างที่บอกมันเป็นเรื่องของคนสองคนที่ไม่น่าจะมาเจอกันได้ คือเรื่องของเรามันเป็นการชี้ให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของพรหมลิขิต อย่างที่บอกว่าคนบางคนตามหากันมาตลอดทั้งชีวิตก็ไม่เจอความรักแท้ แล้วพระเอกกับนางเอกมันเป็นคนเหงาๆสองคนแต่ว่ามันเป็นคนที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งชินกับสังคมเมืองแล้วในสังคมเมืองนี่อาชีพอะไรที่มันแร้นแค้นไร้วิญญาณเท่าพวกโปรแกรมเมอร์เป็นไม่มีอีกแล้ว ก็พอไปเห็นแล้ว เฮ๊ย...มันอยู่กับเครื่อง มันอยู่กับหน้าจอแล้วก็ถ้าเป็นแบบที่เราดูเองพี่รู้สึกว่าเค้าไม่มีวิญญาณ เค้าจะเป็นแบบว่านั่งไปวันๆไม่ค่อยได้คุยกับใคร บางวันก็โทรศัพท์มั่ง ก็เหมาะที่นางเอกก็จะแบบว่าเป็นคนแห้งแล้ง เป็นคนแบบว่าจะไม่รู้สึกผิดปกติอะไร สังคมเมืองไม่ได้ทำให้เค้าเป็นคน...เป็นคน...
คำถาม : เค้าไม่ได้แปลกแยกในสังคมเค้าเอง
คำตอบ : ใช่ ๆ ๆ เค้าไม่รู้ว่าเค้าผิดอะไร แล้วส่วนพระเอกเนี่ยการที่เราอยู่กับสิ่งสวยงาม คือพี่ก็ไม่อยากให้เค้าอิ๋งอ๋อยแต่ว่าการที่อยู่กับต้นไม้ใบหญ้าและก็สุขภาพจิตดีแต่ก็ว้าเหว่ มันยิ่งเหงาใหญ่เลย มันก็ยิ่งไม่มีใคร เพราะว่าทุกอย่างมันเต็มเอ่อล้นไปหมดสำหรับชีวิตเขา ยกเว้นทางด้านจิตใจที่มันเหงาๆแต่มันพร้อมที่จะรักใครสักคน เพราะเค้ามีความรักแต่เค้าไม่มีคนที่จะรัก เมื่อสองคนนี้มาเจอกันโดยที่ไม่น่าจะมาเจอกันได้แล้วความอ่อนโยนของอีกฝ่ายหนึ่งมันจะไหลไปให้จิตใจที่แห้งแล้งของอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วมันกลายเป็นแบบว่ามันคลิกกันได้
คำถาม แล้วเป็นไงกับการที่ได้นักแสดงอย่างแอน ทองประสมมาเล่นคู่กับหนุ่มอรรถพร ช่วยให้ส่วนผสมของการแสดงของทั้งคู่เป็นไปอย่างที่ผู้กำกับต้องการไหม
คำตอบ : เออ... ตอนที่เลือกเราก็ไม่คิดนะคะว่ามันจะเหมาะได้ขนาดนี้ ทีแรกก็คิดแต่ว่าแอนเค้าเป็นนางเอกอันดับหนึ่งคนนึง และก็เล่นเก่งแน่นอนอยู่แล้ว มีความสามารถและก็ตั้งใจ เมื่อเค้ารับเล่นเราก็ดีใจ แต่ปรากฏว่าพอเค้ามาอยู่กับหนุ่มเนี่ย position เค้ากับ... คือ chemistry ระหว่างเค้ากับหนุ่มมันเหมือนกับพระเอกนางเอกในเรื่องที่เราวางไว้เลย คือแอนเนี่ยด้วยความ เค้าเรียกว่าไรน๊า... เค้าๆๆ เค้าเป็นผู้ใหญ่กว่า เค้าผ่านประสบการณ์มาเยอะกว่าหนุ่ม เออ..คือไม่ใช่ผู้ใหญ่กว่าอย่างนั้นนะ คือด้วยความที่เค้าเชี่ยวชาญในการแสดงหรืออะไรอย่างนี้ แอนเขาแสดงออกมาก็จะเหมือนคนกรุงคนหนึ่งจริงๆนะ เค้าเหมือน แต่หนุ่มเนี่ยเป็นคนเก้อๆเขินๆ นะ แล้วมันจะเหมาะ ไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะกลายเป็นเหมือนพระเอกนางเอกจริงๆอย่างนี้ คือหนุ่มอาจจะเป็นเพราะว่าด้วยความสนิทกับทีมงาน สนิทกับพี่เป็นส่วนตัว พี่ก็จะชอบด่ามันว่าไอ้เสี่ยว ไอ้นู่นไอ้นี่ โดยขณะที่น้องแอนคะ ทุกคนจะแบบว่าแอนเป็นนางฟ้า แอนจะอย่างนู้นแอนจะอย่างนี้ ทุกคนจะแบบว่าเอาใจแอน ในขณะที่ไอ้หนุ่มมึงมาช่วยกูถือของเดี๋ยวนี้ มันก็ยิ่งเหมือนคนพื้นบ้านกับสาวชาวกรุงจริงๆเลย บางวันพี่ก็จะด่าว่าไอ้หนุ่มเอ๊ยยิ่งเล่นยิ่งหน้าเหมือนชาวบ้าน
คำถาม : มันเป็นลักษณะของตัวละครที่คนดูรู้สึกอยากจะเอาใจช่วยรึเปล่า
คำตอบ : ใช่คะ จริงๆมันไม่ใช่เรื่องของดอกฟ้ากับหมาวัด แต่ว่าตัวหนุ่มเองเค้าก็กลายไปเป็นคน เหมือนคนที่เป็นคนต่างจังหวัดจริงๆ ต่างจังหวัดกับสาวชาวกรุงซึ่ง....คนชาวกรุงสายตาเค้าก็จะมองอีกฝ่ายหนึ่ง นึกออกไหม มันจะมีสายตาที่ของบางอย่างมันACT มันยากเหมือนกัน แต่อันนี้เค้าก็เป็นธรรมชาติที่จะมองหนุ่มเหมือนกับมองคน...มองอย่างเอ็นดูละ กับอีกฝ่ายหนึ่งที่เวลามองแอนก็จะ...โดยอัตโนมัติเป็นการมองแบบว่ายกย่องขึ้นระดับหนึ่ง ซึ่งจริงๆ อันนี้มันยากเหมือนกันนะ แต่ว่าพอมันมาอยู่ในตัวตนจริงๆแล้วมันจะใช่มากเลย ไอ้หนุ่มก็แบบว่ามองแอนกลัวๆแบบว่าเอาใจๆแบบว่าอย่าเพิ่งรำคาญผมนะ ผมเสี่ยว หรืออะไรอย่างเนี้ย(หัวเราะ) อย่างตอนที่ถ่ายทำก็จะมีแบบว่าน่ารัก เพราะจะมีอยู่ฉากหนึ่ง คือแอนเค้าออกมาจากในตัวบ้านแล้วหนุ่มกำลังซักเสื้อให้ มันเหมือนเค้าเล่นเป็นตัวเองได้คือ...ด้วยการคิดในกองถ่ายเวลาถ่ายทำ เราก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ซึ่งแอนเค้าก็จะชอบแซวไอ้หนุ่ม แซวหนุ่มแบบว่า แซวว่า...ว่าไงจ๊ะ...หนุ่ม อะไรอย่างนี้ แต่พอถึงเวลาถ่ายทำคือแบบว่ามันอธิบายไม่ถูก คือพอเวลาแอนเดินออกมาแล้วเห็นไอ้หนุ่มซักเสื้อให้ในตาจะเป็นแบบว่า....โถทำได้ไง ทำไมต้องทำ คือไม่คิดว่าจะมีผู้ชายคนหนึ่งทำอย่างนี้ให้ ซึ่งมันกลายเป็นง่ายมากเลยโดยที่มันไม่จำเป็นต้องเป็นคำพูด มันไม่ต้องแอค แบบว่ามาซักผ้าให้ฉันทำไม คือผู้ชายคนหนึ่งที่สามารถซักผ้าให้ผู้หญิงสามารถนวดเท้าให้ผู้หญิงได้ แล้วโดยความจริงใจไม่ได้เจ้าชู้ไม่ได้อะไรอย่างนี้ มัน..โรแมนติคแล้วมันน่าจะได้ใจผู้หญิง ในฐานะที่เราเป็นผู้หญิง มันจะแบบว่า โถ..ถ.มีด้วยเหรอ แต่มีจริงๆนะคะ คนแบบนี้มีเยอะเหมือนกัน
คำถาม : ฟังๆดูจากที่ได้คุย เท่าที่ทราบมาว่าบทหนังเรื่องนี้ ตัวบทก็ไม่ได้หนามาก นั่นแสดงว่าวิธีการกำกับหนังเรื่องนี้ของพี่ปุ๊ยให้ความสำคัญกับแอคติ้งสูงมา การสื่อถึงBODY LANGUAGE
คำตอบ : ใช่คะ ใช่คะ มันเป็นแอคติ้งนำทุกอย่าง แอคติ้งนำทุกอย่าง ไปสนับสนุนการแสดงหมดเลย ให้การ แสดงเป็นตัวนำภาพไป ในบางทีเฟรมที่เราอยากได้เป็นอย่างเนี้ย แล้วปล่อยให้มันดูดด้วยการแสดงเข้าไป เออ..อะไรอย่างนี้
คำถาม : มีวางกรอบไหมในแต่ละซีนอย่างนี้ เพราะว่าในเรื่องฟังดูเหมือนมันจะมีซีนที่เป็นพัฒนาการของตัวละคร ซีนที่ขยายผลของตัวละคร ซีนที่บอก background ของตัวละคร ก่อนและหลังมาเจอกันของทั้งคู่ ในมุมมองที่พี่ปุ๊ยตอนกำกับหรือในมุมมองที่ก่อนจะกำกับ ทำการบ้านจากบทมีวางไว้ในใจไหมครับว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ ในตอนทำงาน
คำตอบ : ขนาดไหนอ๊ะคะ
คำถาม : ผมไม่ได้หมายความว่าพระเอกต้องแสดงอย่างนี้ อย่างนี้ คือปล่อยใช่ไหม
คำตอบ : อ๋อปล่อยคะ เพราะว่าเราจะมีสโคปอยู่แล้วว่าอันนี้มันต้องขนาดไหนหรือว่าเราต้องปล่อย chemistry ของเค้า
คำถาม : ให้เล่นกัน
คำตอบ : ใช่ๆ แล้วเราดูแล้วเราคุม คือบางทีการที่เราวาง หรือคิดภาพในใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น จริงๆมันไม่เหมือนกัน บางทีเราอยากให้แอนเล่นอย่างนี้ แต่บางทีพอเราดูแล้ว ทางของเค้าที่เล่นออกมามันอาจจะดีกว่า รวมทั้งบางทีมันไม่ใช่การดีไซด์ เราไม่ได้ดีไซน์ช็อตให้เค้ามายืนกัน หรือเข้านั่งอยู่ใกล้กัน แล้วเราบอก ...ภาพที่เรากะไว้ว่า....มันมีกอดกันเนี่ย บางครั้งพี่แค่บอกว่าลองกอดกันด้วยอย่างนี้ซิ คือเราไม่ได้ดีไซด์ว่าท่าคนจะเป็นอย่างไร อย่างนั้นนะ แล้วพอด้วยอารมณ์มันไป และ position การนั่ง อะไรอย่างเนี้ยมันก็ไม่ได้เหมือนกับที่ใจเราคิดไว้ .... แต่ว่ามันกลับดีกว่า
คำถาม : ก็คือการปล่อยให้นักแสดงได้แสดงความรู้สึกกับความรู้สึกตรงนั้น แล้วก็ปล่อยให้ธรรมชาติมันไหลไป
คำตอบ : และบางทีเราก็เลือกนะ บางทีเฮ้ย...มันไม่ดีวะ ไหน ๆ เอาใหม่ๆ ลองใหม่ๆซิ เฮ้ยนั่งแบบนี้มันไม่เวิร์คเลยวะ มันจริงๆแล้วมันแบบว่ามันสนุกตรงที่มันเป็นความสดด้วย แบบที่แบบว่าเฮ้ย...แบบนี้ดีกว่าวะ ไม่เหมือนอย่างที่เราคิดไว้ อะไรอย่างเนี้ย มันก็...ใช่ แบบว่าปล่อยให้การแสดงนำไปซะเยอะ
คำถาม : มีซีนไหนไหมที่แบบว่าอู้วได้ดั่งใจ โดยที่ไม่ต้องอะไรมากเลย อาจจะยกตัวอย่างซีน
คำตอบ : ก็...เยอะเหมือนกัน คือบ่อยมากที่นั่งหน้ามอนิเตอร์แล้วแบบว่า....โห...แม่งโคตรสวยเลย บ่อยมากคือไม่ใช่พี่คนเดียว คือแบบว่าพี่เป็นคนไม่ค่อยวิจารณ์เขานะ นั่งดู คนข้างๆจะชอบบอกว่า....สวยจัง แล้วคือแอนเนี่ยมีหลายอันมากที่น่าตื่นตาตื่นใจ คือเวลาคนเรามันจะพูดว่าผู้หญิงเวลามีความรักจะสวย ผู้หญิงจะสวยที่สุดเมื่อมีความรัก แล้วแอนเนี่ยยิ่งดูยิ่งสวยนะคือแบบว่าในช่วงที่เค้าอินเลิฟหน้าเค้าจะแบบว่า....สวยจัง สวยจัง อะไรอย่างเนี่ย ทุกคนก็จะบอกว่าสวยจังเลย ๆ มันเยอะมาก หนุ่มเองบางทีก็เป็น บางทีแบบว่าตายหละ ปกติกูไม่เคยเห็นมึงหล่อเลยนะวะไอ้หนุ่ม (หัวเราะ)อะไรวะพี่ทำไมพี่พูดกับผมอย่างนี้ หรืออย่างบางฉากมันเป็นฉากหนึ่งซึ่งแบบว่าพี่กรี๊ดมาก มันเป็นฝนตกอยู่ข้างนอก ฝนตกในหน้าหนาวตอนเย็นเหมือนตะวันมันจะชิงพลบอย่างนี้ แล้วเค้านั่งกันตรงช่องประตูแล้วก็นั่งเช็ดผมให้กัน แล้วมันเป็นโอ้โหย...สีมันสวยมาก ข้างนอกมันดันเป็นใบของต้นโกสนสี ต่าง ๆ ด้วย มันเป็นซีนที่ทุกคนโดยเฉพาะผู้หญิงมักจะกรี๊ดกันมากว่ามันสวย อุ่นหนะ อาจจะเป็นเพราะว่าเรา...ในช่วงเวลานั้นสำหรับเราในชีวิตจริงมันหนาวมากแต่สองคนดูเค้าอิงกันอยู่ แล้วแบบว่าดูแล้วโอ้โหอุ่นจังเลย อุ่นในท่ามกลางความหนาว แล้วแบบว่ามีฝน โอ้ยฉากนั้นแบบว่าชอบมาก ๆ อยากดู มันดีกว่าตอนเป็นบทซึ่งทุกคนกลับอยากดูตอนทั้งคู่นวดเท้ากันมากว่าเป็นภาพจะออกมาอย่างไร เพราะในบทมันสวยงาม แต่ปรากฏว่าพอตอนถ่ายจริงฉากฝนตกเนี่ย กินขาด
คำถาม : ด้วยองค์ประกอบทุกอย่างที่มันเอื้อกัน
คำตอบ : แล้วสวยจัง เออใช่ท่านั่งท่า เนิ่ง แบบว่าลงตัวหมดเลย
คำถาม : แล้วหนุ่มอรรถพรเป็นยังไงครับกับหนังเรื่องนี้ กับบทแบบนี้ที่เราไม่ค่อยได้เห็น
คำตอบ : เออ...สำหรับหนุ่มเนี่ยโชคดีมากที่เป็นคนที่สนิทสนมกันมาก่อน คือคนที่ไม่รู้จักหนุ่มมาก่อน คือคนดูหนัง ดูละครทั่วๆไปจะเห็นหนุ่ม อรรถพร เข้ม ผู้เสียสละ อกหักตลอดกาล แบบว่าหน้าเน้อต้องเข้ม อะไรอย่างเนี้ย เพราะว่ามันจะเล่นบทแบบนี้มาตลอด แต่หนุ่มพาร์ทที่พี่รู้จักคือพี่สนิทกับมันมากคือพี่จะเรียกมันว่าไอ้เสี่ยวตลอดเวลา มันเป็นแบบว่าไม่อยากพูดเลยว่าเดี๋ยวกลัวมันจะเสียแฟน พี่เรียกมันว่าไอ้ติสท์จับตั้ง คือไม่ใช่ติสท์จริง(หัวเราะ)อีคนพยายามเป็นติสท์ คือจริงๆ แล้วไม่ใช่นะ ความจริงมันคือติสท์จริง แต่พี่พยายามด่าให้มันสับสนตัวเอง แล้วแบบว่าไปไม่เป็นเวลาอยู่กับพี่ แล้วมันก็....เออ ๆ มันกับพี่รักกันมาก ทำให้พี่เห็นมันอีกพาร์ทหนึ่งของมัน คือเวลาที่มันเก้อๆ แล้วไม่มั่นใจในตัวเอง เพราะพี่และเพื่อนกลุ่มพี่ชอบทำให้มันไม่มั่นใจ ด่า...เรียกมันว่าไอ้เสี่ยวทุกคำ แล้วเคยไปเมืองนอกด้วยกันเคยอยู่ด้วยกันเยอะพี่จะเห็นความ...
คำถาม : ...ที่คนอื่นมองไม่เห็น
คำตอบ : เออ... พาร์ทอ่อนแอของมันเยอะ แล้วพี่ก็เลยมาจับได้เวลาเป็นคาแรคเตอร์พระเอกในเรื่องเนี้ย มันต้องไม่เข้ม มันต้องไม่มั่นใจ คนที่พร้อมจะรักคนอื่น เป็นแบบว่าคนที่หัวใจฉันเต็ม หัวใจเต็มซึ่ง คนกรุงเทพไม่ค่อยเป็น คนต่างจังหวัดหนะเป็นเยอะมากที่แบบว่า มาสิกูรัก กูรัก คือพร้อมที่จะชื่นชม แต่คนกรุงเทพเค้าจะแบบว่าเออ...มึงมีดีตรงไหนกูก็มีเหมือนกัน และพอแบบว่าพออยู่ๆไปเราก็ยิ่งจะเห็นชัดมาก ถึงสิ่งที่ต้น(ตัวละครที่หนุ่มอรรถพรแสดง)เป็นในตัวหนุ่ม
คำถาม หันมาถามเกี่ยวกับเรื่องการคัดเลือกตัวแสดง เริ่มที่หนุ่มอรรถพร ทราบมาว่าบทต้น นี่ที่ เลือกหนุ่ม อรรถพรนี่คือตั้งใจเลือกเลย
คำตอบ เหมือนแบบว่าหนุ่ม พอมีบทนี้เนี่ย ผู้ชายคนแรกที่เราอยากให้เป็นพระเอกคือหนุ่มเลย ไม่เคยคิดถึงใคร อีกเลย จริงๆแล้วคนที่เลือกหนุ่มคือพี่อ้อม พี่อ้อมเคยถามพี่ว่าถ้าเอาหนุ่มเล่นเนี่ยจะได้ไหม และพี่ก็รู้สึกว่า เออ ใช่เลย ใช่ไอ้หนุ่มเลย ไอ้หนุ่มในพาร์ทที่คนไม่เคยเห็น ไม่มีใครคิดว่ามันจะเล่นในบทอย่างนี้ได้ แต่ถ้าพวกเรามั่นใจว่าต้องเป็นมัน และแอนก็น่ารัก ทีแรกเค้าถามว่าใครเป็นพระเอก เราก็บอกว่าหนุ่ม เค้าไม่เคยทำงานด้วยกันเค้าก็นิ่งๆ แบบว่าเค้าไม่เคยรู้จักกัน พอเค้าอ่านจบปุ๊บเค้าก็บอกว่าหนูเข้าใจแล้วว่า ต้องหนุ่มเลย ต้องเป็นหนุ่มเลย เค้าก็เห็นด้วยว่าใช่ ใช่ต้องเป็นหนุ่ม เพราะว่าอีกอย่างหนึ่งบางทีถ้าพระเอ๊กพระเอก คนที่เป็นพระเอก เอามากๆ หรือว่า strong character อย่างเงี๊ยะ ไอ้ภาพที่พี่เราต้องการจากตัวละครตัวนี้ที่เป็นคนที่มีจิตใจดี ที่มี แววตาที่บ่งบอกถึงความรู้สึกในการมองผู้คนอย่างชื่นชม มันจะไม่มี จะไม่ชัดเจน เพราะพระเอกเป็นคน ต่างจังหวัดที่ถ่อมตัวและมองคนด้วยสายตาชื่นชม ซึ่งในตัวหนุ่มมีความชัดเจนตรงนี้ ลองสมมติว่าถ้าเป็นคนอื่นที่รับบทนี้ แล้วยิ่งถ้าได้look คนที่เป็นพระเอกมาก ๆ มันก็จะไม่ได้อารมณ์ตรงนี้ มันจะไม่มีความอบอุ่น อยากที่เราต้องการ
คำถาม เพราะคนนั้น ๆ ก็มี Detail ที่เด่นชัดของเค้าอยู่แล้ว
คำตอบ ใช่ๆๆ มันยากที่จะหาคนที่แบบว่า คือพร้อมที่จะชื่นชมคนอื่นๆ มันยากเหมือนกัน พี่รู้สึกว่าไอ้หนุ่มน่ะ ใช่เลย และก็ตามหานางเอกยากเย็นมากกว่าที่จะเจอนางเอกได้ แบบว่าคนนี้ก็สูงไป คนนั้นก็ไม่เหมาะกับไอ้หนุ่มอะไรอย่างนั้น จนบางทีก็บอกว่าหนุ่มจะง่ายกว่าไม๊ที่พี่เปลี่ยนพระเอกน่ะ (หัวเราะ)ซึ่งมันแค้นมาก
คำถาม แล้วตัวหนุ่มเองพอเค้ารู้ว่าพี่ชวนมาเล่นบทอย่างนี้ หนุ่มเค้ารู้สึกยังไง
คำตอบ ชอบ ครั้งแรกที่พี่คุยกับพี่อ้อมและคิดว่าเป็นหนุ่มปั๊บ พี่ก็โทรหาหนุ่มทันทีเลย และก็เล่าให้หนุ่มฟังว่า เรื่องเป็นงี้ๆ ไอ้หนุ่มก็..พี่แล้วเค้าจะยอมให้ผมเล่นเหรอ นายทุนเค้าจะยอมให้ผมเล่นเหรอ พี่ก็บอกว่าไม่รู้ แต่พี่ว่าน่าจะได้วะ คือพี่เป็นคนที่ไม่รู้เรื่องกลไกการตลาด กลไกการขาย พี่จะไม่ค่อยรับรู้อะไรเลย แต่หนุ่มมันก็จะชอบมาก พอเล่าให้ฟัง มันรู้สึกดีที่พี่อิน พี่จะเป็นคนแบบว่าไม่เข้าใจอะไรเท่าไหร่ ถ้าเกิดว่าไม่ค่อยชอบ แต่เนี่ยแบบว่าเล่าจริงจัง อู๊หูย…เล่าสนุกสนาน ไอ้หนุ่มมันเลยบอกว่า ถ้าพี่ชอบขนาดนี้มันต้องเจ๋งแน่เลย มันก็แบบว่าดีใจนะคะ แต่อย่างเดียวที่มันบอกพี่คือมันกลัวว่ามันจะเล่นไม่ได้อย่างที่พี่หวังไว้
คำถาม ผลที่ได้ก็ Happy??
คำตอบ ก็ Happy คะ
คำถาม เห็นจากในรูปจะมีฉากที่พระเอกจะต้องมีนอนซมอยู่บนเตียงมีผ้าพันอยู่รอบหัวด้วย
คำตอบ ไอ้ตอนที่มันโพกหัวมันรู้ว่าตัวเองจะตายแล้ว เอ่อ..สิ่งที่ยากเข็ญสำหรับหนุ่ม คือหนุ่มไม่เคยต้องเล่นบท เศร้าอะไรขนาดนี้ มันก็ค่อนข้างยากเหมือนกันที่มันต้องร้องห่มร้องไห้ หนุ่มไม่ค่อยได้เล่นอะไรอย่างนี้น่ะคะ ต้องใช้เวลาและต้องใช้การจูนเพราะบางทีถ้าคนเราตั้งใจจะเล่นร้องไห้ มันจะเค้นเกินไปหรือยังไง มันยากที่จะจูนว่า เฮ๊ย!! อย่า อย่าตั้งใจขนาดนั้น อย่า อย่าร้องเยอะขนาดนั้น
คำถาม ฟังดูบทของหนุ่มที่พี่ปุ๊ยต้องการจะต้องมีสัดส่วนของความพอดี อยากให้พี่ปุ๊ยขยายความ ยากของความเป็นคาแรคเตอร์ของตัวนี้
คำตอบ จริงๆแล้วเนี่ยนะคะ มันไม่ได้ยาก เพียงแต่ว่ายากในการแสดงรึเปล่า ด้วยตัวคาแรคเตอร์นี่มันไม่ยาก นะ เริ่มจากคนๆนึงที่ชีวิตเต็มเปี่ยมแล้ว ที่พอชีวิตเต็มเปี่ยมแล้ว เมื่อเราเจอคนๆนึง วันนึงเรารู้ว่าเราต้องจากเค้า ไป แล้วเราต้องทิ้งเค้าไว้คนเดียว มันเป็นความปวดร้าว และคนเราพี่มั่นใจว่าคนที่รู้วันตายของตัวเอง ที่รู้ว่าเราต้องตายเนี่ยมันต้องเศร้า เพียงแต่ว่าพอหนุ่มเค้าไม่ค่อยได้เล่นเนี่ย นักแสดงคนไหนก็ตามที่ไม่ค่อยได้เล่นบทเศร้า แม้กระทั่งพี่เอง พอถึงเวลาที่จะต้องเล่นบทเศร้าก็จะแบบว่า มันจะยากเย็น มันจะยากเย็นกับการที่จะต้องร้องไห้ อะไรอย่างงี้ แล้วเวลาถ่ายหนังบางทีมันจะไม่ต่อเนื่อง ยิ่งฉากที่หนุ่มต้องร้องไห้ตอนตี 5 นี่มันง่วงเกินมนุษย์ที่จะมาร้องไห้แล้วละทำนองเนี๊ยะ สงสารหนุ่ม พี่ต้องเคี่ยวเข็ญมันสาหัสเหมือนกันส่วนตัวพี่พี่คิดเลยนะว่าเค้าแข็งแรงเกินไป
คำถาม แล้วสำหรับนางเอก ที่มาได้แอนทองประสม ดูไม่บอบบางไปเหรอ..?!
คำตอบ ไม่ เค้าอาจจะเด่นเกินบท นึกออกไม๊?? บทบางทีมันต้องการความกลมกลืน ถึงได้แบบว่า แต่พอได้ แอนเล่นแล้วมันรู้สึกว่ามันน่าสนใจจังเลย กลายเป็นแบบว่าเค้าก็ไม่ได้เด่นเกินบท ก็ดีเลย
คำถาม พี่อ้อมเคยเล่าให้ฟังว่า แอนเค้าร้องไห้ถึง 4 ครั้งตอนอ่านบท
คำตอบ แอนเค้าเช็คตัวเอง อ่านครั้งแรกคือเค้าก็บอกเองว่าเค้าก็เรื่องมากเหมือนกัน อ่านรอบแรกเค้าก็ร้องไห้ ไม่ว่าใครอ่านก็ร้องไห้ แบบว่ามันเศร้า จริงๆ แล้วตัวหนังมันจะเอื้อให้ผู้หญิงสะอื้นทั้งเรื่อง เรื่องออกจะดราม่า ขนาดนี้ เรื่องบังคับผู้หญิงร้องไห้ แอนเค้าก็บอกว่าเค้าไม่มั่นใจ แค่ครั้งแรกรึเปล่าที่ทำให้เค้าร้องไห้ได้ เค้าก็ลองอ่านอีกหลายครั้ง แล้วเค้าก็ร้องไห้ทุกครั้ง เค้าก็เลยมั่นใจว่า OK. เค้าเล่นได้
คำถาม ตอนที่ไปทาบทามชวน แอน ใช้เวลาตัดสินใจนานไหม?
คำตอบ คะ เค้าก็ใช้เวลาคิดพอสมควร เค้าก็ปรึกษาคนนั้นคนนี้ แอนเค้าดีตรงที่เค้าชัดเจนน่ะคะ เค้าบอกเองว่า เค้าคิดมากก่อนทำงาน แต่พอทำงานเค้าก็ไม่มีข้อแม้อะไร เหมือนกับคนเราก็ได้เซฟไว้แล้วก่อนจะเล่นว่ามีเงื่อนไขอะไร
คำถาม แต่แอนเขาก็ก่อนหน้านี้เไม่เล่นหนังเลยนานมากๆ
คำตอบ ก็พอเค้ามาเล่นละคร เล่นละครแล้วเวลามันไม่ได้ พี่ก็ไม่แน่ใจว่าแอนเค้า หลังๆเค้าก็เลือกงาน เหมือนกัน ก็ไม่แน่ใจว่าคนน่ะโพสต์เค้าไปเยอะรึเปล่า เรื่องเวลาเราก็โชคดีมากเพราะว่าช่วงนี้เค้าก็ว่างจากละครพอดี
คำถาม ชื่อThe Letter แล้วจดหมายในเรื่องมันมีความสำคัญอย่างไร?
คำตอบ สำหรับความสำคัญของจดหมายในเรื่องนี้ พระเอกเค้าบอกไว้ชัดเจนว่าเค้าอยากให้จดหมายนี้.. มันจะ เป็นการเปรียบเทียบอย่างนี้ว่าคนทุกคน ชีวิตของคนทุกคนมันเป็นการเดินทาง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราผ่านช่วงยากลำบากของชีวิต คือมันเหมือนกับการเดินผ่านไปในทะเลทราย มันต้องเผชิญกับความแห้งแล้ง และจดหมายพวกนี้มันเหมือนแหล่งน้ำในทะเลทรายที่จะทำให้นางเอกมันรอดพ้นจากทะเลทรายได้ มันก็หมายถึงว่าในความทุกข์ยากทั้งหลาย ถ้าไม่มีจดหมายพวกนี้ ผู้หญิงคนนี้อาจจะไม่มีกำลังอยู่ต่อไป อาจจะฆ่าตัวตายไปแล้ว เพราะว่าสำหรับผู้หญิงคนนี้ ชีวิตมันจบไปแล้ว มันจบไปพร้อมกับคนรัก เพราะว่าไม่รู้จะอยู่ต่อเพื่ออะไร พอมีจดหมายเนี่ยเหมือนกับมีคนรักกลับมาอยู่ข้างๆ บอกให้ทำนู่น ทำนี่ บอกให้อย่าร้องไห้ พอแล้ว ลุกไปทำงานเหอะ และก็บอกว่าคุณต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ คือคนเรามนุษย์แต่ละคนมันก็มีทางเดินของตัวเอง ไม่ใช่ว่าชีวิตหนึ่งจบไปแล้ว อีกชีวิตหนึ่งต้องจบไปด้วย แล้วเค้าก็บอกเองว่าอันนี้คือแหล่งน้ำ เมื่อได้ใช้แล้วมันจะทำให้มีกำลังเดินต่อไปได้
คำถาม Massage อะไรคือที่พี่ต้องการจะบอกผ่านคนดูในหนังเรื่องนี้
คำตอบ เอ่อ…คือใช้ชีวิตให้มีค่า รักคนที่ควรจะรักให้มากๆ คือจริงๆอันนี้ง่ายๆเลย คือเดินออกจากโรงแล้วรู้สึก รักกันให้มากๆ เหมือนที่พี่อ้อมพูด เพราะว่านี่มันคือจุกประสงค์หลักของหนังเรื่องนี้ คือเห็นค่าของคนรักให้ มากๆ และก็ทำดีกับเค้าให้มากที่สุดก่อนที่จะสายเกินไป
คำถาม รู้สึกเป็นไงบ้างที่ได้ทำงานร่วมงานกับคนเก่ง ๆ หลายคนไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับมือ 1 อย่างอุ๋ย นนทรีย์มาเป็นโปรดิวเซอร์ หรือแท็คทีมโปรดักชั่นดีไซน์เนอร์ อย่างเอก เอี่ยมชื่น
คำตอบ เอาพี่อุ๋ยก่อนละกัน พี่อุ๋ยก็ช่วยเหลืออย่างดีมาก เวลาที่เรามีอะไรข้องใจนี่ก็จะช่วยเติม แล้วก็เป็น Producer ที่ดีมาก ช่วยแก้ปัญหา ทำงานกับคุณอุ๋ยก็สบายใจ เข้ากันได้ดี เวลามีคุณอุ๋ยอยู่ในกองก็แบบว่าทุกอย่างรันไปอย่างรวดเร็ว อย่างที่พี่บอกพี่ก็เป็นคนอ่อนประสบการณ์ เค้าก็จะมาช่วยเหลือ ก็อย่างที่บอกว่าคุณอุ๋ยก็เป็น Producer ในฝัน ยิ่งตอนอ้อมอยู่ก็ยิ่งดี เหมือนมีอีกคนนึงที่ช่วยรันงาน ส่วนคุณอุ๋ยก็ช่วยดูเวลาออกกองว่าแก้ปัญหาอันนี้พร้อมไม๊ ช่วยดูแลทุกอย่าง โดยรวมแล้วทำให้เรารู้สึกว่าเราไม่ถูกบงการ นับว่าเค้าดีมาก เพราะบางทีมันยากมากกับการที่เป็นผู้กำกับเหมือนกันแล้วต้องมาดู อย่างพี่ต้องนับว่าเป็นรุ่นน้อง ในการกำกับเนี่ยการที่ไม่มาก้าวก่ายถือว่ายากมาก แต่เค้าก็ทำได้ เค้าก็ทำโดยที่เรารู้สึกว่าไม่มาก้าวก่าย เมื่อไหร่ที่ขอความช่วยเหลือเค้าก็จะช่วย
คำถาม เคยคิดมาก่อนไหมว่าวันหนึ่งจะได้มาร่วมงานกัน
คำตอบ ก็ตั้งแต่เค้าชวนก็คิดว่าอยากทำเหมือนกัน แต่ยังไม่เจอเรื่องไหนที่ลงตัว ที่เคยบอกว่าไม่เอา ไม่อยากทำ แต่ลึกๆก็คิดว่าอยากลองเหมือนกัน แต่ยังไม่คิดว่าเรื่องไหน ยังไม่ไขว่คว้าหาเรื่องมาทำอะไรอย่างเงี๊ยะ พอมี โอกาสมา คนแรกที่คิดว่าทำก็คงทำกับคุณอุ๋ย นึกไม่ออกว่าจะไปทำกับคนไหนเพราะไม่รู้จักใคร ส่วนเอก(เอี่ยมชื่น โปรดักชั่น ดีไซน์เนอร์) เนี่ยได้ยินชื่อเสียงของเอกมานานแล้วเรื่องเค้าเก่งมือหนึ่ง แต่ว่าสำหรับพี่ แล้ว เอกเป็นน้องชายของเพื่อนสนิทพี่ พี่เห็นเอกมาตั้งแต่ตอนอยู่ ม.1 พี่เห็นเอกมา 25 ปีแล้ว เพราะฉะนั้นพี่กับเอกก็เป็นพี่น้องกันน่ะคะ จะสนิทกันมาก ทีแรกพี่คิดด้วยซ้ำว่าหนังเรื่องนี้มันเป็นหนัง Production เล็ก เอกเค้าจะทำเหรอ เพราะเอกเค้าจะชินกับทำอะไรใหญ่ๆโตๆ แต่ความที่เรารักกัน เอกก็…ผมช่วยอยู่แล้ว ดราฟท์แรกเนี่ยเอกมันอี๋มาก มันบอกว่าน้ำเน่าและก็เด็กๆ แต่พอแก้ไปเรื่อยๆเอกมันก็เห็นด้วย แต่ปรากฏว่าพอถ่ายทำจริงจังเนี่ย เอกเป็นคนสำคัญเป็นกำลังหลักมาก เป็นแบบว่าช่วยทุกอย่าง เอกเค้าก็จะเป็นธุระช่วยกันดูแลเป็นเจ้าภาพเจ้าของงาน ดูแลพี่ แม้กระทั่งบางอันเอกมันไม่เคยทำ วันที่พี่รู้ว่าพี่อ้อมตายเนี่ย ก็เรียกว่าเอกช่วยเหลือมากและก็รักกันมากๆ ไม่ใช่แค่ช่วยเหลือเรื่องการงาน จะช่วยหาไวน์ให้กิน หรือไม่ก็มานั่งเล่นเป็นเพื่อนพี่อย่างนี้เลย ก็รู้สึกดี พอรักกับเอกเด็กๆในกองยิ่งรู้สึกเป็นมิตรกับเราที่แบบว่า พี่ๆเค้าสนิทกันมันก็สนิทด้วย บางทีรู้สึกเราก็ได้เป็นห่วงเค้าด้วย ก็ดีเลย เอกช่วยเหลือทุกอย่าง ดูแลและก็ทำให้หนังสวยมาก บ้าน เบิ้น บางทีเราก็นึกไม่ออกว่ามันสวยได้ขนาดนี้ ต้องนับถือเอกมากๆที่บางส่วนพี่นึกไม่ออก เรารู้ว่าอะไรสวยอะไรไม่สวย บางทีเรานึกไม่ออกว่าทำยังไงมันถึงจะสวย พอเห็นบ้านทีแรกเราก็อึ้งๆเหมือนกันว่าถ่ายยังไงมันถึงจะสวยวะ แต่พอขึ้นๆไปดู คือว่าบ้านเนี่ยก็คือ Location main ก็เป็นแค่ธรรมดาบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเราไปตามบ้านนอกเราก็จะเห็น เอกก็สามารถทำ space ให้มันสวยได้ สวยนี่มันไม่ได้สวยอย่างบ้านชาวกรุงนะคะ มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่บ้านฝรั่ง แต่สวยในสิ่งที่มันเป็น มันเป็นบ้านเก่าที่ดูดี เรามั่นใจว่าคนดูแล้วจะรู้สึกว่ามันเป็นความงามของบ้านนั้นๆ ของวิวนั้นๆ ที่ต้นไม้สวย รวมทั้งตากล้องก็ทำให้มันออกมาสวยด้วย และก็อย่างบางอย่างนะคะ ต้นไม้ต้นเอกของเรื่องหาทั้งอ่างขางก็ไม่มี ที่มีมันก็ไม่เด่น เอกก็เสนอว่าให้ม็อคอัพขึ้นมาแล้วกัน พี่ก็โอ้โหตายแล้วใกล้กำหนดที่พี่ต้องกลับแล้ว ตอนไปดู Location ก็ยังหาต้นไม้ไม่ได้ ผ่านมาไม่กี่วันเอกก็บอกว่าได้แล้ว แต่ต้อง ข้ามเขาไป 2 ลูก พี่ก็คร๊อก….อย่างนั้นเอาสวยน้อยกว่านั้นได้ไหม มันก็ยืนยันว่าไม่ได้พี่ต้องมาตรงนี้แหละ ความที่เค้าเอาแบบมาให้ดูแล้วเราก็ยังนึกไม่ออก ว่าเหรอๆมันคุ้มเหรอวะที่ต้องทำขึ้นมาลำบากลำบนขนาดนั้น แต่พอไปดูแล้วแบบว่าใช่เลย มันเป็นสวิตเซอร์แลนด์มากๆ มีเขาล้อมรอบเต็มไปหมดแล้วแบบว่าตอนเช้าๆมันก็จะมีหมอกขาวเต็มไปหมดเลย เป็นแบบว่าตรงหุบเขานี้เป็นเหมือนลำธาร มันสวย…สวยมาก จะถ่ายยังไงก็สวย ถ่ายมุมไหนก็สวย และก็มีอีกหลายอย่าง คือชอบเอกตรงที่ Art Direction เค้าดีมาก แล้วไปกันได้ดีคือไม่ทำให้มันโดดออกมา อันนี้เราไม่ได้ว่า สมมติว่าหนังเกาหลีอะไรอย่างนี้ เอกสามารถหาความงามในสิ่งที่เราไม่เห็นว่ามันสวยออกมาได้ อย่างไปเก็บผักข้างบ้าน เราก็ไม่เห็นว่ามันจะสวยตรงไหน มันก็หามุมสวยออกมาจนได้ หรือบ้านอย่างที่บอกว่าทำไมบ้านมันสวยวะ หรือว่าโรงเรียน โรงเรียนเทศบาลอะไรแปลกๆ มันจัดอะไรนิดหน่อยมันก็สวยแล้ว มันสวยอย่างที่มันเป็นจริงๆ สวยตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้นเอกเค้าเป็นคนทำให้ความสวยของความเป็นอันนั้นมันโดดขึ้นมาได้ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ยากมาก ไอ้การเซทใหม่ใครๆก็ทำได้ เอกเค้าไม่ได้เซทใหม่ทั้งหมด เค้าเอาความงามของของเก่าขึ้นมาได้ มันก็ได้สวยกว่าที่คิด เราก็ไม่ได้คิดว่ามันจะสวยขนาดนี้ ช่วงแรกๆพี่ก็ยังคิดไม่ออกว่ามันจะออกมาเป็นยังไงวะ คิดได้แต่ตอนเป็นบทว่าบ้านสวย บ้านยังไง บ้านที่นางเอกไปอยู่ บ้านที่เป็น main เราต้องทำยังไงวะ จะเอาเซทแบบหนังเกาหลีเลยไม๊ หมายถึงว่าอยู่ๆก็เป็นบ้านสวยโคตรๆขึ้นมาหลังนึง จะทำอย่างนั้นเลยไม๊ นึกไม่ออก นึกไม่ออกจริงๆ คิดทางไม่ออกว่าทางมันจะเป็นยังไง พอยิ่งประชุมกัน ยิ่งพูดกันไป ยิ่งพูดกันมา ภาพมันก็ยิ่งชัดขึ้นมาเรื่อยๆ พอไป scope ไอ้ Location มันก็เริ่มนึกออกว่า…อ๋อ มันต้องเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย อย่างปุ้มกับเอกที่เค้าไปหา Location มาให้เนี่ย เค้าก็แน่พอที่เค้าเอามาปุ๊บ 3-4 หลังนี่มันก็ใช่เลย ในบรรดา 4-5 หลังที่เค้าเอามาให้ หาให้ได้ 1 เราก็สบายใจแล้ว ว่าการทำงานมันก็ง่ายขึ้นคือแค่ตัดสินใจเท่านั้นเอง ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าโชคดีและก็ดีใจที่ได้ทำหนังที่ได้แรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่และเต็มที่จากทุก ๆ คน
มุมหนึ่งแห่งความอบอุ่นนอกเหนือจากความห้าวของลูกผู้ชายชื่อ อรรถพร ธีมากร”กับบทพระเอกเรื่องแรกใน “เดอะเลตเตอร์....จดหมายรัก”
พาร์ทแรก : ตัวตนของหนุ่มอรรถพรกับสิ่งที่ติดตัวมาตลอดชีวิต “การแสดง”
ชีวิตของหนุ่ม “อรรถพร” กับสิ่งที่เรียกว่า “การแสดง”
- เท่าที่จำได้ก็ประมาณสัก 10 ปีนิด ๆ น่าจะเข้า 11 หรือ12 ปีได้
ลองมองย้อนกลับไป เคยคิดเคยฝันมาก่อนไหมว่า ชีวิตของเราจะเข้ามาเกี่ยวกับ “งานแสดง”อย่างวันนี้
- ไม่เคยอยู่ในหัวเลยตั้งแต่เกิด แต่ว่าเรื่องพวกเนี่ย มันเป็นเรื่องที่วนเวียนอยู่รอบตัวเรามาตั้งแต่เกิดเหมือนกัน มันอาจจะเป็นเพราะว่ามันวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวเรามาตั้งแต่เกิดทำให้เราเลยเฉยๆกับการที่เราอยากเป็นนักแสดง ไม่ได้รู้สึกอะไรกับมัน ถามว่าตัวเองรู้สึกว่ามีสัญชาติญาณอะไรเกี่ยวกับมันบ้างรึเปล่า ก็ยังไม่รู้ แต่ก็เคยทำแล้วทำได้ในวัยเด็ก ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว มันเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเรามาก
จนถึงวันนี้ “การแสดง” มีความ “สัมพันธ์” และ “สำคัญ” กับชีวิตหนุ่มอย่างไร
- ตอนนี้งานแสดงมันเป็น 1 บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของเราที่เรากำลังทำอยู่ เพราะเราคิดว่ามันเป็นอาชีพของเรา แล้วเราก็มั่นใจว่าเราสามารถทำมันเป็นอาชีพได้ด้วยตัวเรา มันก็เลยเป็นสิ่งที่บังคับว่าเราต้องทำให้มันมีมาตรฐานที่ดีของมันเหมือนที่มันเคยมีมา มันมีบทบาทยังไงกับชีวิตผมเหรอ มันคือสิ่งที่ทำให้ผมมีสตางค์ที่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขกับการทำงานและการมีชีวิตอยู่ปกติ
แต่ดูเหมือนว่า “หนุ่ม” อรรถพร มักจะมีอะไรเซอร์ไพรส์ กับสิ่งที่เรียกว่า “การแสดง” อยู่เสมอ ๆ นอกเหนือจากภาพที่เราชินตา ตั้งแต่บทห้าวๆ ในหนังและละคร มาจนถึงเซอร์ไพรส์บนละครเวทีอย่างบัลลังก์เมฆ มันยังมีอะไร ๆ มันมีความลับทางการแสดงหรือเทคนิคหรือทริคอะไรสำหรับตัวหนุ่มรึเปล่า
- ไม่มี ไม่มี เทคนิคหรือทริคใด ๆผม เวลาทำงาน ผมก็เป็นไอ้คนนั้นจริง ๆ นะ ผมจะหายไปอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่งจริงๆ โลกที่มีอาจจะเป็น วิธีหรืออะไรก็ตาม ผมจะไปอยู่ในโลกใบนั้นจริงๆ ผมสะกดจิตตัวเองมั้ง ตลอดเวลาที่ผมทำงานเป็นตัวละครนั้น ๆ ในกรณีที่ผมมีเวลาให้กับมันด้วยนะครับ ถ้าโปรดักชั่นมีเวลากับมันที่จะทำให้เราค่อย ๆสะกดจิตตัวเองไปได้
แต่มีคนบอกว่าวิธีแบบนี้มันจะดึงพลังในการทำงานของตัวนักแสดงเยอะมาก ๆ อย่างนี้หนุ่มมีปัญหาในการเข้าหรือออกในการเป็นตัวละครนั้น ๆ หรือไม่ อย่างไร
ไม่มี อืม ผมว่าถ้าจังหวะถึง เนี่ย อาจจะต้องหาแรงจูงใจ ที่ดีพอที่มีพลังพอ ซึ่งอาจจะเหนื่อยกับการที่จะทำให้รู้สึกกับมันแต่เวลาออกเนี่ยต้องออกให้เร็ว เพราะไม่งั้นคุณจะแยกไม่ออกระหว่างโลกของความจริงกับโลกของการทำงาน มันถือว่าเป็นอุบัติเหตุทางการแสดงอย่างหนึ่ง เคยได้ยินนี่ผมไม่รู้ว่าผมตอบตรงกับคำถามรึเปล่านะ เรื่องเช่นนักแสดงบางคนบอกว่าร้องไห้แล้ว ผู้กำกับสั่งคัทแล้วหยุดไม่ได้ นั่นแหละเป็นอุบัติเหตุคุณต้องมีสติอยู่กับมันมันตลอดเวลา ในขณะที่คุณมีสติคุณคิด คุณรู้สึก เอาสามอย่างเนี่ยออกมาพร้อม ๆกับในน้ำหนักที่มันพอดีๆ เฮ้ยเก่ง พวกมันใช้พลังมาก ใช่ แต่มัน หนุกไง คือบังเอิญผมชอบใน สิ่งๆนี้แล้วผมอยู่กับมามันมานานแล้ว ผมรู้สึกผมชอบมันแล้วๆ มันก็เป็นอาชีพเป็นชีวิตผมไปแล้ว ผมก็เลยสนุกกับมันโดยที่ผมไม่ได้บังคับตัวเองให้สนุกด้วยนะ ผมรู้สึกสนุก ๆจริง ๆ เวลาที่ผมอยู่กับมัน ไม่ได้มีความคาดหวังใดๆ ในการทำมันลงไป เพียงแค่รู้สึกว่าสนุกแล้ว ก็ทำแล้วก็ทำมันให้ดีพอนั่นแหละ
แต่ในภาพลักษณ์ของหนุ่มสำหรับคนดูกลับรู้สึกว่านักแสดงอย่างหนุ่มมักเหมือนกับจะยังอยู่กับตัวละครนั้น ๆ อยู่ แต่พอได้ฟังแล้วมีความรู้สึก โห แสดงว่านักแสดงอย่างหนุ่มเนี่ย ต้องใช้เวลาเหมือนกันกว่าที่จะรู้สึกว่าอันนี้ คืออุบัติเหตุทางการแสดงนะ และนักแสดงที่ดีจริงๆ คือต้องไม่ คือเหมือนกับเวลาต้องออกก็คือต้องออก ใช้เวลานานไหมกว่าจะรู้หรือตัวเองเคยมั้ยที่แบบไม่ออก
- เคยครับ เคยหงุดหงิดแล้วก็หงุดหงิดยาว แล้วไม่มีผลดีอะไรกับตัวเองเลย เลยพยายามพอผู้กำกับสั่งคัท คือคัท ๆ ทั้งหมดเลย ไม่รู้แหละแต่ตอนแรก ๆ ผมใช้วิธีถอนหายใจแรง ๆ เหมือนกับเป่าลมเข้าไปแล้วก็พ่นออกมา นึกออกไม่ฮะ เหมือนเร่งสปีด แล้วก็คัท แล้วก็ถึงข้าในมันยังรู้สึกอยู่นะครับ แต่เก็บกด ๆๆๆไว้เป่าลม แล้วก็ค่อยๆ หายไป แต่ถ้าถามว่ายังคงจมกับความรู้สึกแบบนี้ไหมในวันนี้ คือจริงๆ ผมก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่บ้าง แต่ว่าต้องให้มันเป็นน้อยที่สุดนะ เราต้องทำให้มันสั้นที่สุดด้วย ไม่งั้นผมเองจะเดือนร้อนเอง
เกี่ยวไหมเป็นเพราะบทส่วนใหญ่ที่ผ่านมาที่เราเห็นหนุ่มแสดง มันเป็นบทที่ต้องแสดงออกมาในลักษณะนั้นด้วย และใช้พลังเยอะ
- ค่อนข้างจะถูกบังคับให้เล่น อย่างนั้น ค่อนข้างจะถูกบังคับให้อยู่ด้านลึกของตัวละครเยอะ ส่วนใหญ่เวลาผมเล่นหนังเล่นละครที่ผ่านมาเนี่ย ผมจะได้บทที่มันมีความเป็นมนุษย์ค่อนข้างสูง มีทั้งดีและเลว แล้วก็มันมีพัฒนาการของตัวละครด้วย อะไรก็ตามมาเรื่อยๆ มันก็เลยเนี่ย เอาว่ะ คือพอมันเห็นด้านดีและเลว มันจะเห็นด้านลึกของมัน อะไรอย่างเนี่ย มันมีมิติขึ้น มันถูกบังคับให้เป็นอย่างนั้น
ไอ้ตรงนี้มันเป็นเพราะว่าเราเลือกที่จะรับจะเล่นตัวเป็นตัวละครที่ซับซ้อนหรือผู้สร้าง,ผู้จัด,ผู้กำกับเลือกที่จะเอาหนุ่มในภาพลักษณ์แบบนี้
- มันเกิดจากการเลือกของผมก่อนว่าจริง ๆ ผมไมได้ว่างานอีกแบบหนึ่งมันไม่ใช่ไม่ดีนะ แล้วไม่ได้บอกว่างานที่ผมทำมันดีที่สุด ผมว่ามันจะต้องเลือกในแบบที่มันเหมาะกับเรา เวลาที่เราเข้าไปอยู่ในนั้นเป็นตัวละครตัวนั้นแล้ว เรื่องนั้น ๆ แล้ว ก็ทีมงานทีมนั้นแล้ว มันสามารถทำให้เราเล็งออกมาได้ดีแค่ไหน คือเล่าออกไปได้ดีมากน้อย แค่ไหน เอมันก็เลยต้องทำให้ผมต้องเลือกตั้งแต่อะไรต่อมิอะไรก็ว่ากันไป ก็ให้ดูเป็นแบบที่ว่าเราเข้าไปทำงานแล้ว เรามีความสุขกับมัน
พาร์ทสอง : จากสุดห้าวใน “ล่องจุ๊น ฯ” ถึง ชายหนุ่มที่แสนอบอุ่นใน“เดอะเลตเตอร์...จดหมายรัก” เมื่อ หนุ่ม อรรถพรเปลี่ยนไป
จนกระทั่งเราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงจากภาพหรือลักษณะของตัวละครที่เราไม่ค่อยได้มีโอกาสจะเห็นจากหนุ่ม โดยเฉพาะตัวละครในหนังเรื่อง จดหมายรัก นั่นแสดงให้รู้ว่า หนุ่มอรรถพรกำลังจะบอกอะไรรึเปล่า หรือหนุ่มอรรถพร เปลี่ยนไป หรือเมื่อก่อนหนุ่มไม่เคยคิดที่จะเลือกบทแบบที่เรากำลังจะเห็นในหนังเรื่องจดหมายรัก หรือจริงๆ แล้วไม่มีใครยื่นบทแบบนี้ให้เราเล่น
- อืม ที่ผ่านมาผมก็ยังรู้สึกว่าผมยังไม่อยากเล่นบทแบบนี้ มันยากไป มัน Smooth ไป ผมก็โตไปตามวัยนะ คือไอ้ความใจร้อนหรือความที่ค่อยๆ คิดไตร่รองกับคามรู้สึกให้รอบคอบ ยังไม่ค่อยมี มันยังไม่ควรเล่น คือถ้ามันยังมีนิสัยแบบนี้อยู่ มันยังไม่ควรเล่นอะไรที่มันละเมียดละไมมาก เพราะมันจะยังไม่เข้าใจแล้ว มันจะไม่รู้สึกจริง คือมันยังไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนั่นจริง ๆมันเป็นอย่างไร
แต่ดันไปเข้าใจและรู้สึกกับบทแบบชายหนุ่มสุดห้าว ร้อนแรง จิ๊กโก๋ เลือดร้อน
- ใช่ เพราะว่าเราเข้าใจแบบนั้นอยู่ เราก็เลยขออยู่กับแบบนั้น แล้วที่เข้ามามัน เป็นบทที่ผมรู้สึกว่าผมยังไม่เหมาะกับมัน
จนถึงเดี่ยวนึ้ หนุ่มอรรถพรยังรู้สึกอยู่
- หลังจาก หนังเรื่องเดอะเลตเตอร์.....จดหมายรัก นะเหรอ ไม่หละ คือผมว่ามันถึงเวลาที่ผมทำมันได้ แล้วมันก็เข้ามาในจังหวะที่พอดี จริงๆ ประกอบกับพี่ปุ๊ย พี่อุ๋ย พี่อ้อมก็เลย....ครับ
ทวนกันนิดหนึ่ง คนอาจจะคุ้นเคยกับ 2499 แต่จริง ๆแล้วก่อนหน้านั้น งานหนังกับหนุ่มเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องและมีมาก่อนหน้านี้นานแล้ว
- ล่องจุ๊น เรื่องแรก คือล่องจุ๊น เรื่องที่ 2 คือ 2499 อันธพาลครองเมือง เรื่องที่3 คือเพื่อเพื่อน เพื่อฝัน และวันเกียรติยศ เรื่องที่ 4กำแพง เรื่องที่ 5โอเคเตง แล้วก็มาเดอะเลตเตอร์...จดหมายรักเป็นเรื่องที่6
จนกระทั่งมาถึง “เดอะเลตเตอร์....จดหมายรัก” สำหรับหนุ่มมีความรู้สึกอย่างไร ที่พี่อ้อม พี่อุ๋ย พี่ปุ๊ยลงความเห็นว่า “หนุ่ม” เหมาะกับบทแบบ “ต้น” ในหนังเรื่อง จดหมายรัก ซึ่งทั้ง 3 คนเป็นคนที่สนิทกับหนุ่มมาก เห็นหลาย ๆ มุมของหนุ่มที่คนอื่นมองไม่เห็น
- ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือเสียใจดี คือสรุปหนุ่มแม่งเสี่ยววะ (หัวเราะ) ที่หนุ่มได้เล่นเพราะหนุ่มแม่งเสี่ยว จริง ๆ ผมรู้สึกดีนะ
เป็นคนกลุ่มแรกๆ เลยไหมที่มาเสนอบท ชายหนุ่มเรียบร้อย เป็นคนดีที่อบอุ่นและพร้อมที่จะให้ อย่างบท ต้น ในหนังเรื่องจดหมายรักนี้
- ใช่ อืม คือมีฮะ แต่ส่วนใหญ่เขาจะเลือกไปใช้แบบส่วนที่เป็นจิ๊กโก๋ ๆหน่อย ประเภทอบอุ่น นุ่มนวล สุภาพขนาดนี้ ไม่มี คือส่วนใหญ่จะติดจิ๊กโก๋หน่อย ๆ เฮ้ย เว้ย อะไรเงี้ย แต่ว่าตัวละครที่ผมเล่นส่วนใหญ่จะแบบ เลว ๆ แต่เป็นคนดี อย่างตัวละครเปี๊ยก วิสุทธิ์กษัตริย์ใน 2499 ดูเป็นมนุษย์ที่สุดแล้ว ผมอาจจะเป็นคนที่ชอบอะไรที่มันจริง เป็นเรื่องจริง เป็นภาพจริง เราก็เลยรู้สึกว่าเฮ้ยเราเล่นได้ เราทำได้ เราถ่ายทอดตัวละครตัวนี้ได้ด้วยวิชั่น วิสัยทัศน์ของพี่อุ๋ยเราว่า น่าสนใจ
นั่นเป็นเหตุผลต่อเนื่องด้วยไหม ที่เหมือนกับว่าหนุ่มอรรถพร กับผู้กำกับอุ๋ยนนทรีย์ เหมือนรู้ทางกันรู้ตัวตนของกันอยู่แล้ว ถึงกับติดใจร่วมงานกันมาถึง 3 เรื่อง
- ใช่ตั้งแต่เจอพี่อุ๋ย เรารู้สึกว่าเออพี่คนนี้แม่งโอเค แม่งมันแล้วเขาเก่งด้วย เราก็ไม่ค่อยรู้จักเรื่องหนังอะไรหรอก แต่ก็แบบเฮ้ย เออไม่เคยเห็นอย่างงี้เลยว่ะ พี่เขาคิดได้นะ นึกออกไหม แล้วมันก็เกิดศรัทธา
เพราะในยุคนั้น หนังไทยที่ออกมาจะแบนไปหมดเลย หันไปทางไหนก็เหมือนกัน ไม่ค่อยมีอะไรโดดออกมาเท่าไหร่
- อืม มีแต่หนังทั่ว ๆ ไป อยู่ดีๆ ก็เหมือนกับเป็นฮีโร่ ภาพยนตร์ไทย จริงนะ สำหรับผม พี่อุ๋ยคือฮีโร่ของภาพยนตร์ไทยเลย เขากลับมาทำให้หนังแม่งมี 75 ล้านเราก็ศรัทธาเขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วก็สนิท รู้จักกัน สนิทเข้ากระดูกดำเลย
แล้วในชีวิตหนุ่มมีใครเป็นฮีโร่ของเรารึเปล่า
- พ่อผม (พูลสวัสดิ์ ธีมากรนักแสดงระดับอาวุโสที่ได้รับการยกย่องและยอมรับมาตลอดชีวิตการแสดง)ไง คือถ้าไม่ใช่เพราะพ่อผมนะ ผมก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้หรอก โอกาสแรกที่ผมได้มาทำงานแบบนี้ก็เพราะพ่อ ที่เหลือมันคือการที่ต้องพิสูจน์ตัวเองของผม ว่าผมจะจริงไม่จริง อยู่ได้หรืออยู่ไม่ได้ แต่ว่าในที่สุดแล้วไอ้สิ่งรอบ ๆตัวพ่อผมนะ บางทีตื่นนอนลงมาจากห้อง ก็จะเห็นพ่อนั่งท่องบท มันเห็นอย่างนี้ตลอด แล้วมันเห็นบรรยากาศในกองถ่าย เห็นกล้อง เห็นไฟ เห็นดารา เห็นคนมัน เอ้อ นี่แหละ สิ่งที่มันห่อเรามาตั้งแต่เราเกิด มันหล่อหลอมให้เราเป็นแบบนี้
หนุ่มได้อะไรมาจากคุณพ่อบ้าง
- มันซึมโดยที่ผมไม่รู้ตัว มีหลายๆ อย่างนะ แต่มีเยอะมากเลย โดยที่ผมไม่รู้ตัว นิสัยหรือแม้กระทั่ง วิธีคิด ทำ นั่งมอง นั่งเอียงคออย่างเนี่ย พ่อเขาชอบนั่งเอียงคอหน่อย ๆ นี่คือไม่รู้ตัวจริง ๆ แล้วก็ความตั้งใจในการทำงานอันนี้ พูดดูเป็น ดราม่ามากนะ แต่แม่งจริงมากนะ แล้วก็อะไรต่อมิอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง
ย้อนกลับมาที่ เดอะเลตเตอร์...จดหมายรักหลังจากถูกทาบทาม ได้มีโอกาสอ่านบทแล้ว เรา มีวิธีการรับมือหรือเตรียมตัว หรือมีวิธีการอย่างไรในการรับบทเป็นตัวละครในเรื่องจดหมายรักนี้
- ไม่ได้เตรียมตัวเลย อ่านบทเสร็จ นั่งร้องไห้ นั่งน้ำตาคลอ ๆ อยู่พักนึง แล้วก็เข้าใจหมดเลยจริง ๆ นะ ผมรู้สึกว่าผู้ชายคนเนี่ยเป็นผู้ชายที่อบอุ่นทั้งภายนอกและภายใน เขามีความรักอยู่เต็มหัวใจ รอว่าวันหนึ่งจะมีใครเข้ามาในชีวิต พร้อมที่จะให้ความรักเขาหมดไปกับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเหมือนเขาชื่อต้น เขาเหมือนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่คอยให้ความอบอุ่นคอยให้ร่มเงา ให้ความร่มเย็น กับคนที่ได้มานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ต้นนั้น ฉะนั้นเรื่องรักของเขามันก็เลยพร้อมที่จะให้ใครสักคนที่จะมาอยู่กับเราก็คือดิวเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก
ส่วนไหนที่มีความรู้สึกว่าบทต้นมันโดน มันกระแทกความรู้สึกหนุ่มอรรถพร พออ่านบทเสร็จปั๊บมีภาพในหัวที่จะเล่นไหม คืออย่างแอน (ทองประสม) เขาบอกว่าอ่านบทแล้วเขาอยากเลยนะ อยากไป อยากเห็นตัวเองไปเป็นตัวละครตัวนั้น
ของผมคือความรักของผู้ชายคนหนึ่งที่อยากจะทำให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก เวลาเมื่อได้อยู่กับเรา แม่งแบบเอาไปเลย เอาไปเลยทั้งหมดเลยนะ ผมพยายามที่จะขยายความออกมาเป็นคำ มันเป็นความไม่เห็นแก่ตัว คือผมว่าคนปัจจุบันแม้กระทั่งตัวผมเอง ในบางครั้งมีความรักแบบที่รักตัวเองมากกว่า อยากจะให้คนที่เขารักหรือคนที่เรารักเนี่ยเป็นอย่างที่เราต้องการ แต่ว่าสำหรับไอ้ตัวละครต้นเนี่ยมันไม่ใช่ ผมรักคุณเท่านั้นเลย แล้วที่เหลือผมจะทำให้คุณมีความสุขที่สุดในชีวิต และคุณจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกก็ได้ หรืออะไรอย่างเนี่ยเลย ผมว่าเออมันเจ๋งว่ะ
สำหรับตัวหนุ่มเองการรับบทแบบนี้เป็นเรื่องที่หนักใจรึเปล่า ยากไหม
- เป็นความรู้สึกที่ระคนกันมาก สบายใจมากที่เรากำลังจะได้ทำงานกับพี่ ๆ ที่เราสนิทอยู่แล้วทุกคนเลยนะ แม้กระทั่งพี่อุ๋ย พี่อ้อม พี่ปุ๊ย พี่เอก(เอี่ยมชื่น) ใครต่อใครในทีมเรารู้จักทั้งหมด และสนิทอยู่แล้ว มันเป็นการทำงานที่สบาย แต่หนักใจ ตรงเรากำลังเป็นต้น มันยากนะ คือการเป็นต้นเนี่ย มันเป็นการเปลี่ยนปุคลิก พอเปลี่ยนบุคลิกแล้วมันเป็นอีกคนหนึ่งจริง ๆ นะมันทั้งใช้สมาธิ ใช้อะไรตรงนี้ ยาก ๆ แล้วก็อีกอันหนึ่งที่กังวลคือเราจะจูนกับแอนได้หรือเปล่า
นอกจากต้องเล่นเป็นตัวละครที่แตกต่างจากบทก่อนหน้า และที่สำคัญเป็นตัวละครที่เน้นการกระทำ และการแสดงออกมากกว่าคำพูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำที่ต้องให้คนดูรู้สึกว่า เราคือต้น ผู้ชายที่ดูแววตาก็รู้ว่าพร้อมที่จะรัก พร้อมที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ผู้หญิงคนหนึ่ง หนุ่มทำอย่างไรให้คนดูเชื่อ
- ก็อย่างที่ตอบไปนั่นแหละ ผมสะกดจิตตัวเองแล้วผมก็เป็นตัวละครตัวนั้นจริง ๆ ใสขณะที่ผมทำงาน ฉะนั้นพอจิต นี่กระแดะมากเลยนะ เล่นจิตเลย (หัวเราะ)มันทั้งจิตและวิญญาณ และสมองของผมเป็นต้น ผมก็รู้สึกกับมันตริง ๆ แล้วก็แสดงออกไปตามที่รู้สึกท่าทาง อาการและวิธีมอง แววตา หรือแม้กระทั่งจะขยับหนึ่งนิ้ว หรืออะไรก็ตามมันจะเกิดจากความรู้สึกจริงที่ผมรู้สึกว่าผมเป็นต้น นี่ผมเป็นต้น
เพราะฉะนั้น ปัญหาที่ว่าคราวนี้ หนุ่มอรรถพรไม่มีปืน ไม่มีมีด ไม่มีอะไรที่มาช่วย บลิ้ว หรือแม้แต่ความกราดเกรี้ยวหรือไดอะล็อคประเภทขู่กระแทกคนดู แต่กลายเป็นไดอาล็อคน้อยเนี่ยไม่ได้เป็นปัญหาในการแสดงกับหนุ่มแล้ว
- ไม่มีครับ ด้วยเรื่องและภาพ การเล่าเรื่องด้วยภาพด้วย ผมเชื่อว่าจะทำให้คนดูเข้าใจได้โดยที่ไม่ต้องพูดความรู้สึกของตัวละครที่แสดงออกไป จริง ๆ มันประกอบกันแล้ว มันทำให้รู้สึกได้จริง ๆ โดยที่ไม่ต้องพยายามที่จะพูดอะไร ต้องมีอะไรออกไปเยอะแยะครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ต้องแสดงให้รู้ว่าเรารักเราห่วงแฟนของเราซึ่งคือแอน ทองประสมเนี่ยนะ ไม่มีผลใช่ไหม ถึงจะเป็นแอน ทองประสมก็เหอะ
- เออผมรักเขาจริง ๆ นะ (หัวเราะ) และตอนเล่นนะผมรักเขาะเลยหละ แต่ว่าคัท แล้วก็คือ คัท นะ คัทแล้วเราเป็นเพื่อนกัน อุบัติเหตุทางการแสดงไม่มี คัทแล้วเราเป็นเพื่อนกัน ด่ากัน แซวกัน แต่ว่าถึงเวลาเล่นเนี่ย ผมโคตรรักเขาเลยละ ฉะนั้นความรู้สึกต่าง ๆ ที่เราเห็นเนี่ยข้างหน้าคือเมียเรา ผู้หญิงคนเนี่ยคือผู้หญิงที่เราให้ชีวิตไปแล้ว เออมันก็ทุกอย่าง มันก็ผ่านไปได้ด้วย เขินมั่ง เกร็งมั่ง ประหม่าหน่อย ก็มีบ้าง ก็ว่ากันไป
หนุ่มกำลังจะบอกว่าคนรักกัน คงไม่ยืนห่างกัน เพราะฉะนั้นทุกระยะของความรู้สึกและการแสดงที่มันเกิดขึ้นเขาคือ แฟนเรา
ใช่ ก็หมายความว่าไอ้ความประหม่า ความเขิน ความเกร็งอะไรเนี่ย คือแบบในบรรยากาศที่โรแมนติคที่ตั้งแต่เริ่มรู้จักกัน นี่คือข้อดีของการทำงานแบบนี้ อีกอย่างหนึ่งคือการทำงานแบบที่ค่อย ๆถ่ายเรียงซีน มันทำให้ความสัมพันธ์ของตัวละครมันค่อยเป็นค่อยพัฒนาตามความรู้สึกจริงได้ง่ายขึ้น แล้วทุกอย่างมันจะsmooth ขึ้น ผมกับแอนเจอกันใหม่ ๆ มาเข้าฉาก วันนั้นก็เพิ่งรู้จักกันใหม่ ๆ เดินห่างกันแบบ แต่ว่าเราก็พยายามทำความรู้จักกันนะ คือเราแอบทำความรู้จักกันในฉากคือไม่ได้รู้ว่าผมเป็นอย่างไร คุณเป็นอย่างไรนะ ทำความรู้จักในการทำงาน คุณเล่นแบบไหน คุณคิดยังไง คุณเล่นขนาดไหน เหมือนกัน เรามาจูนกัน อะไรอย่างเนี่ย ในขณะที่เราเป็นตัวละครตัวนั่นด้วย เรามาค่อยๆ จูนกันเรื่อยๆ จูนกันเรื่อย ๆ มันค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปด้วยดี พอถึงฉากที่มันจะต้องถูกเนื้อต้องตัวกันบ้าง ในเรื่องนี้ก็มี มีกอดกัน มีจูบหน้าผาก มีกอดกันอุ่น ๆ อะไรเงี่ย ส่วนใหญ่จะเป็นโรแมนติคซีน มันไม่ถึงขนาดเลิฟซีนอะไรขนาดนั้น มันมีระยะห่างระหว่าง ผู้ชาย ผู้หญิง และเพื่อนร่วมงาน เออมันก็เลยทำให้เราเอ๊ะมันจะยังไงวะ จะอะไรเนี่ย แต่ว่าคือตอนแรก ๆ เนี่ยแอนดูเขาจะวางตัวอีกแบบหนึ่ง เพราะเขาเป็นผู้หญิง แล้วเพราะเขาไม่รู้จัก แต่พอเขารู้จักแล้วจะเป็นอีกแบบหนึ่ง เขาจะกวนฮะ แล้วเขาจะฮา เขาจะอำ เขาจะกัดกระแหนะกระแหน เขาจะอะไรอย่างเนี่ย แสบแต่น่ารักมากนะ โดยเฉพาะเรื่องการทำงานเขาสุดขีดจริง ๆ คนนี้ มันเลยช่วยทำให้ความเกร็งต่างๆ เนี่ยมันเบาบางลงมันจางไป เออพอฉากหลังๆ ที่แสดงออกซึ่งความรักมากๆ เราก็จะแอนขออนุญาตินะ แล้วความรู้สึกเวลากระชับกอดมันจะแน่นขึ้น มันจะรู้สึกได้ นั่นคือประโยชน์ของการถ่ายเรียงซีน โอ้โหจากค่อย ๆ แตะ จนถึงกระชับกอด ๆ ตายเลย โห ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นมันเปลี่ยนแปลงไปตามเรื่อง
หมายความว่าตลอด 3 เดือนเราได้เริ่มต้นรู้จักใครคนหนึ่งจนรู้จักกันจริง ๆ จากการทำงานแล้วส่งผลต่อการทำงานด้วย
- มันมีอะไรให้ได้ทำความรู้จักกันตลอดเวลา เออกินอะไรหลังอาหาร คือเราก็ไม่ได้อยากไปอะไรอย่างนั้น แต่ว่ามันเห็น กินข้าวกับอะไร อ๋อ ชอบอันนี้ ไม่ชอบอันนี้ กินอันนี้ กินผลไม้ อะไรอย่างเนี่ย
บางคนเขาเรียกว่า chemistry หนุ่มมองเรื่องการรับส่งกันในการทำงานต่อกันอย่างไรบ้าง
- อ๋อ เคมีที่จูนกันได้ แต่ผมเชื่อในเรื่องที่ว่ามันคือความเอ้ของคนที่รู้สึกต่อกันมากกว่าที่จะเป็นส่วนผสมหรือเคมีที่ลงตัวหรือจูนกันได้ ผมเชื่อว่าถ้าเรามีทัศนคติที่ดีต่อกัน เวลาทำงานมันไม่ยากที่เราจะมีความตั้งใจเหมือน ๆ กัน อะไรอย่างเนี่ย มันก็ทำให้ง่ายขึ้นที่จะทำให้ไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน ด้วยความตั้งใจ แล้วก็โดยสัญชาตญาณของการทำงาน ทั้งผมเองและแอน มันก็ทำงานกันมาพอสมควรมันก็เห็นอะไรกันมาเยอะพอสมควร เวลาทำงานกัน มันก็จะแบบ จูนกันง่าย เออเราไม่ปิดตัวเองหละ เราก็ส่ง เรารู้สึกเราก็แสดงออกไป เขารู้สึกเขาก็แสดงออกมา มันก็คือ มันไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ เราก็เลย แบบนึกเขาออกนะ ว่าจะบอกเขายังไงเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ ในเรื่องเนี่ย ทำความรู้จักกัน ในการทำงาน ว่าจะจูนกันอย่างไรว่าจะอะไร อย่างไร
มันคือการเอื้อต่อกันในการแสดง แล้วอย่างตอนที่จะต้องถ่ายทอดความรู้สึกที่เราจะต้องตาย จะต้องจากคนที่เรารักหละ
- มันก็ค่อย ๆ รู้สึกด้วยข้างในของตัวเองด้วย ที่เรากำลังจะตายที่เราจะต้องจากเขาไป คือจริงทั้งหมด ประมวลแล้วก็คือว่าดิวผมขอโทษที่ผมกำลังจะตาย เออเป็นอย่างนั้นที่มาของอารมณ์มัน ๆ เกิดขึ้นอย่างนั้นจริง ๆ นะประกอบกับพี่อ้อม(ดวงกมล ลิ่มเจริญ) พี่เขากำลังเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เราเห็นเจตนาเห็นความเหนื่อยล้าของเขา เราเห็นความอ่อนโยนของเขาตลอดเวลา เห็นพลังและความรักที่เขาใส่ลงไปในงาน เราสังเกตเขาแล้วเราก็พยายามตับความรู้สึกของเขาว่ามันเป็นเพราะอะไรทำไมเขาถึงอย่างนี้ ๆ มันก็เป็นอีกหนึ่งที่มาของแรงจูงใจ เราเห็นพี่อ้อมเหนื่อยเวลาที่เขาจะเดินขึ้นเซ็ท เราเห็นพี่อ้อมแบบหอบอะไรอย่างเนี่ย เห็นพี่อ้อมพยายาที่จะสู้เพื่อที่จะให้หนังมันออกมาดีที่สุด ที่จะดีกับใคร เออเราเห็นพี่อ้อมเขา.....เออมันก็เหมือนกับต้นที่รักดิวมาก แล้วเรากำลังจะตาย เรายังอยากจะดูแลเขาต่อไปทั้งชีวิต แต่มันเป็นไปไม่ได้แล้ว ฉะนั้น เราก็ต้องทำให้เขามีความสุขที่สุดในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่
พูดถึงการร่วมงานกับแอน ก่อนที่จะได้ร่วมงานกัน หนุ่มมองแอน อย่างไรบ้างและเมื่อเทียบกับหลังจากที่ได้ร่วมงานกันแล้วใน “เดอะเลตเตอร์ ...จดหมายรัก”
- ก่อนทำงานภาพแอนดูเป็นเจ้าหญิง ๆ หน่อย ดูเธอเป็นหญิงสูงศักดิ์ แท้จริงแล้วเธอแสบ นิสัยดี น่ารัก ตั้งใจทำงาน เป็นผู้หญิงที่เก่งมาก รอบคอบกับชีวิต เขาเป็นคนที่มีมุ่งหมายในชีวิต ชัดเจนมากและเขาก็ตรงไปยังจุดนั้นอย่างมั่นใจ เขาเจ๋งนะ
รู้สึกอย่างไรที่ได้แอนมาเล่นเป็นดิวคู่กับต้นซึ่งเล่นโดยหนุ่ม
- รู้สึกดีนะ เพราะว่าแหมชื่อเสียงเรียงนามระบือขนาดนั้น เรื่องความสามารถ ได้ร่วมงานกับคนเก่ง ๆ ก็เป็นเรื่องดีกับตัวเองด้วย แล้วก็ได้ทำงานกับคนเจ๋งๆ ทั้งหมดเลย มนคงเป็นงานเจ๋ง ๆทั้งหมดเลย น่า เอานาเรากำลังจะได้ทำงานกับคนเจ๋ง ๆ แล้ว ความรู้สึกเหมือนตอนที่ผมเล่น 2499 เล่นปมไหม เล่นเก็บแผ่นดินกับประตู เล่นละครเวทีกับพี่บอย (ถกลเกียรติ)แม่งมัน
เมื่อย้อนกลับไปถึงบรรยากาศในตอนที่เรากำลังทำงานหนังเรื่องนี้บรรยากาศการทำงานเป็นอย่างไรบ้าง
บรรยากาศ การทำงาน เราไปทำงานกันที่เชียงใหม่ ขับรถขึ้นดอยกันไกลมาก ๆ เส้นทางก็โคตรเลี้ยวเลย แต่ว่าผมเป็นมนุษย์ไม่ค่อยเมารถ และไม่ค่อยมีปัญหามาก แล้วก็แบบทำไมมันไกลจัง แล้วแต่ละที่ที่ไปถ่ายนะ อย่างอ่างขาง แล้วก็ยังมีอีกนะดอยอะไรก็ไม่รู้ไกล โห หนาวมาก ตอนที่ไปถ่ายเนี่ยอยู่ในหุบเขา อยู่ในอะไรที่ต้องแต่งตัวกันแบบ 4 องศา จำได้ว่าต่ำสุด2หรือ4องศานี่แหละ ต้องลุกขึ้นตื่นมาต้องแต่งหน้า ทำผมเนี่ย แล้วมันต้องฉีดน้ำใส่หัวนะ เพื่อจะไดร์ผมน่ะ อู้ฮู หนาวจริง ๆ ประมาณว่าต้องแต่งตัวกันแบบเหมือนอยู่สวิสเลยนะ อย่างอื่นพร้อมหมด ดี แล้วก็ความลำบากในการทำงานไม่ค่อยมี ที่กองถ่ายดูแลกันดี ทุก ๆ คนมี ความสุข กับการทำงานมากเท่าที่ผมเห็นและสังเกตได้นะ เห็นถึงความตั้งใจที่ทุก ๆ คนใส่ลงไปในงานเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพื่อจะทำให้หนังดี อย่างชัดเจนมาก ไม่มีใครทะเลาะกันหยิกกัดกันบ้างตามประสาความสนิทสนมกัน ตั้งใจกันชิบ เป็นใจเดียวกันน่ะ แล้วก็ที่นั่นสวย โดยเฉพาะที่โครงการสวยมาก แล้วก็บรรยากาศต่าง ๆ ผมว่ามันเป็นหนังที่สวยมาก ๆ เรื่องหนึ่งนะรวมถึงการถ่ายภาพของพี่สีบานด้วย ซึ่งสวยและเล่าเรื่องดีชิบหาย
โครงการวิจัยของดอยอ่างขางเหรอ
- ใช่ ๆ เราก็ไปทำงานในนั้น ไปถ่ายในนั้น แล้วเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ก็ให้ความร่วมมือดี ที่เขามาเล่นด้วย ในบรรยากาศก็ดูน่ารัก ๆ มีพี่เยอะแยะฮะ หลายคน พี่เสริฐ แล้วก็พี่ ๆอีกหลายคน น่ารักหมดเลย แกเป็นพวกใจใส แกจะมาใสมาเลย ยิ้มฮา ทักหวัดดีค้าบ บรรยากาศในการทำงานนั้นสดชื่น มันมีอะไรใส ๆ ดี ๆหนังมันก็เลยบรรยากาศออกมาดี ผมเชื่อว่าบรรยากาศหนังมันดี
จำได้ไหมถ่ายเดือนไหน ปิดกล้องเมื่อไหร่
- ปลาย ๆตุลานิดหนึ่งต้นพฤศจิกายน แล้วมาปิดเอาประมาณมกราคม มีการใช้โลเกชั่นในการถ่ายทำเยอะเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่ก็คืออยู่ในเชียงใหม่นั่นแหละครับ อยู่ดอยอ่างขาง อยู่บนเสมิง ที่หนาว ๆ ทั้งนั้นครับแล้วลุคส์เชียงใหม่ในหนังก็จะไม่ใช่เชียงใหม่ในแบบที่เที่ยวในเมืองอะไรอย่างนั้นนะครับ แต่นี่ดูเป็นทุ่งดอกไม้โล่ง ๆ กว้าง ๆ สวยๆ ดูอบอุ่น หนังท่านปุ๊ย (ผอูน จันทรศิริ)ถึงจะถ่ายตอนหน้าหนาว แต่ในเรื่องมันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดในหน้าร้อน แต่มีอยู่ซีนหนึ่ง ตอนแต่งงานกัน มันเป็นหน้าร้อน แต่ตอนนั้นผมว่าอุณหภูมิไม่ถึง 10 องศา แล้วผมกับแอนต้องนั่งมองหน้ากัน แล้วก็บอกถึงความรู้สึกข้างในใจ แล้วก็เปิดหน้าต่าง แล้วลมก็มาแบบเห็นเป็นเม็ดเลย เป็นหยดน้ำ อู้หู แล้วก็แบบ ฮือ ๆ ๆหนาวจริง ๆ แล้วตอนหลังก็เริ่มสนิทกันแล้ว เริ่มคุ้น ๆ กันมีจังหวะหนึ่งแบบหัวเปียก ๆ บรรยากาศสบาย ๆ หน้าร้อนเช็ดผม แต่โห มีฝนตกข้างนอกอีกนะ หนาวชิบ แต่พอจังหวะสวมกอดเนี่ย ขอโทษนะครับ อืมอุ่นจัง
หันมาถามถึงผู้กำกับคุณผอูน จันทรศิริ ทราบมาว่าสนิทกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเนี่ยสำหรับพี่ปุ๊ย ได้มาร่วมงานกันเป็นอย่างไรบ้าง
คือจริง ๆ แล้วพี่ปุ๊ยเขาจะเป็นพวกที่ไม่ค่อยชอบอวดเท่าไหร่ จึงไม่ค่อยได้มีโอกาสเห็นแกให้สัมภาษณ์อะไรเท่าไหร่ และที่สำคัญแกไม่ใช่พวกที่ยกตัวเอง แต่แกมีความมั่นใจในตัวเองสูงมากกับการเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยรู้เรื่องหนังเลย แล้วมาทำงานกับคนในทางหนังทั้งหมด แล้วเป็นผู้ชายด้วย มันไม่ใช่เรื่องธรรมดานะคือมันต้องทำให้ผู้ชายยอมรับทั้งกองถ่ายแล้วเขาดูแลทุกคนด้วยใน คือทีมงานทุกคนที่เป็นผู้ชายรักและเคารพพี่ปุ๊ยหมด แกวางตัวดีมาก แกทำให้เกิดศรัทธาทั้งเรื่อง นิสัยของแกในการทำงาน แล้วก็เรื่องวิชั่น เรื่องทัศนคติของแกกับงานด้วย รสนิยมของแกที่แสดงออกไปในงาน มันดีพอที่จะทำให้ใครต่อใครเชื่อได้ ผู้ชายทั้งกองแม่งตัวเบ้อเร้อ จิ๊กโก๋ ที่ไหนเดินผ่านพี่ปุ๊ยย้วยหมด แต่ว่าพี่ปุ๊ยเขาจะสนุกสนานกับทุกคน อย่างพอดี ๆ ตั้งใจทำงานมาก เพราะเหตุผลอะไรก็ตาม แต่พี่ปุ๊ยตั้งใจและก็ใส่ใจกับมันทุกรายละเอียดจริง ๆ พี่ปุ๊ยเป็นผู้กำกับที่ผมว่า แกเป็นผู้กำกับที่ดูแลเรื่องการแสดงเก่ง ต้องถือว่าเป็นผ็กำกับการแสดง ผ็กำกับแบบผู้กำกับการแสดงแบบนี้ fake ไม่ได้ ขยับหลอกนิดเดียวปุ๊บ รู้เลย อย่านะมึง แอ่ มีแบบเดี๋ยวขออีกเทคหนึ่ง แล้วก็แบบมีสบตาๆ หน่อย โอเค ๆ ถ่ายได้ ๆ ขอโทษห้ามเทคนิคใด ๆ รู้สึกจริง เท่านั้น เพราะแกจับได้หมด อย่าไปโกหกแก แกจับได้ มันทำให้ยากตรงนี้เหมือนกัน แต่ว่ามันดี มันเคี่ยวเราน่ะ รสนิยมไม่ต้องพูดถึง ผมว่าดี บางทีเรื่องความละเอียดอ่อน ความละเมียดละไม ในความเป็นผู้หญิงผมว่าผู้หญิงท่าจะดี มันมีความละเมียดละไมความละเอียดอ่อนของความรู้สึกต่าง ๆ ของความรัก ผู้หญิงโดยเฉพาะพี่ปุ๊ยนะ ผมว่าเจ๋งนะ
ฟังดูแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลยสำหรับ ตำแหน่งนี้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นกันได้ทุกคนด้วยสำหรับ “ผู้กำกับ”
- ผู้กำกับหนัง ผมว่าเป็นหน้าที่ ๆ จะต้องดูแลทั้งหมดของกองถ่าย โดยความรู้สึก ด้วยสัญชาติญาณนะฮะ แม้กระทั่งเรื่องกับข้าวหรือเรื่องอะไรก็ตาม ดูแลในส่วนของงานศิลปะของเรื่อง ดูแลเรื่องภาพ อารมณ์ ดูแลเรื่อง ทุกอย่าง หน้าที่ รับผิดชอบเยอะมาก ผมถือว่าเป็นความรับผิดชอบสูงสุดอย่างที่ผมบอกผู้หญิงกำกับหนังเรื่องแรกไม่ได้มาทางสายหนังด้วย พูดตรงๆ เลยว่าคนที่มาจากสายละครน่ะ คนหนังจะมองอีกแบบหนึ่ง เท่าที่ผมสังเกตได้ มันยากและหนักมากสำหรับผู้หญิงที่เป็นผู้กำกับ ผมว่าพี่ปุ๊ยทำมันได้น่าประทับใจมาก
นอกจากนี้ยังมีคนสำคัญอีกคนหนึ่งที่คงต้องพูดถึงก็คือ “พี่อ้อมดวงกมล”
- พี่อ้อมเป็นคนแรกเลยมั้งที่บอกว่าต้นคือหนุ่ม ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นพี่อ้อม ผมรู้จักกับพี่อ้อมมาตั้งแต่สมัยเล่น “กำแพง"”เราคุยกันมาบ้างเราสนิทกัน เรามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน พี้อมเคยให้ตำรา “พิชัยยุทธ” คือตำราการแสดงของอาจารย์สดใสที่เป็นเล่มใหญ่ เล่มซีร็อกซ์หนา ๆ ผมไม่แน่ใจเขาเรียกวิทยานิพนธ์รึเปล่า ที่เป็นตำราใหญ่ไม่ใช่เล่มเล็ก พี่อ้อมเป็นคนให้ผม แล้วทุกวันนี้มันก็ยังอยู่ นั่นทำให้ผมกบพี่อ้อมสนิทกันมาเรื่อย ๆ รู้จักกันมาเรื่อย ๆ พี่อ้อมทุกครั้งที่นะไม่ว่าพี่อ้อมจะทำอะไรอยู่ที่ไหน จะอยู่ในสถานภาพใดก็แล้วแต่ ทุกครั้งที่เจอจะเหมือนเดิมตลอด เป็นไงบ้าง อะไรก็ว่ากันไป เธอมาได้ยังไง มันเห็นความรักและเอ็นดูที่เขาให้เราตลอด เพราะว่าเราเป็นน้องที่เขารัก คนหนึ่งเราเห็นเลยนะ ว่าเรานี่คือน้องที่เขารักคนหนึ่ง มันเป็นความรู้สึกดี ๆ ตลอดเวลาที่เจอกัน แล้วเราก็เลยต้องตั้งใจทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ให้ได้ ยิ่งได้รู้ว่าพี่อ้อมไม่สบาย แล้วพี่อ้อมรู้สึกอย่างไรกับหนังชิ้นนี้
ท้ายนี้อยากฝากหรือพูดอะไรถึงหนังที่เราเป็นพระเอกเรื่องแรกอย่างเดอะเลตเตอร์ไหม
รู้ไหมสำหรับผมแล้ว ผมว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่ยากที่สุดสำหรับผม มันคือคำถามขายของนะ เราภูมิใจกับมัน แต่เราไม่กล้าที่จะไปอวดอ้างกับใคร มันก็เลยยากเหมือนกันแนวเดียวกับพี่ปุ๊ยนั่นแหละที่แกก็เป็นคนที่ไม่ค่อยขายของเท่าไหร่ สำหรับหนังเรื่องนี้มันเป็นหนังรักในอุดมคติเรื่องหนึ่ง ผมคาดหวังว่าใครก็ตามที่เดินเข้าไปดูแล้วเดินออกมารจะรู้สึกว่ามีความสุขกับความรักที่ตนเองมีอยู่หรือคนที่เพิ่งสูญเสียความรักไปหรือคนที่มีทัศนคติในแง่ลบในเรื่องความรักน่าจะมีความสุขกับความรักได้ มัน ..ผมเชื่อว่ามันเป็นความฝันของทั้งผู้หญิงและผู้ชายหลาย ๆ คนมันน่าจะมาเติมความรู้สึกของความรักมันมีมากขึ้น รักกันแล้วก็จะรักกันมากขึ้นอะไรอย่างงี้เลย แล้วผมก็เชื่อว่ามันจะเป็นอย่างงั้นด้วย มันน่าจะทำให้ใครที่ดูแล้วรู้สึกว่า ในขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่เนี่ย เราควรจะทำช่วงเวลาที่เรามีอยู่ให้ดีที่สุด ไม่โกรธกันดูแลกัน รักกัน เพราะถ้าเกิดวันหนึ่งเราต้องสูญเสียคนที่เรารักไปอย่างน้อย เราได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดไปแล้ว ไม่ว่าจะสูญเสียเขาด้วยกรณีใด ๆ ก็ตาม หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นอีกงานหนึ่งที่จะไปกระตุ้น หรือว่าสร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับทัศนคติในเรื่องความรักได้ เท่านั้นหละครับ
เปิดอก หนุ่ม อรรถพร และแอน ทองประสม กับ เดอะเลตเตอร์ จดหมายรัก หนังรักที่ทั้งคู่ทุ่มหมดใจและคนดูทุกคนต้องหลั่งน้ำตา
คำถาม ทราบมาว่าตัวแอนเองไม่ได้แสดงหนังนานมาก
แอน 12-13 ปีค่ะ
คำถาม ห่างหายไปจากภาพยนตร์ถึง 12-13 ปีแล้วทำไมแอนถึงตัดสินใจกลับมาแสดงหนังอีกครั้ง
แอน ที่ตัดสินใจเล่นเลยคืออย่างแรกเลย คือบท ชอบบทมาก ๆ อ่านแล้วมีความรู้สึกว่า มันไม่ใช่แค่ดูเสร็จแล้วคนดูกลับออกไปจากโรงหนังจะไม่ได้อะไรกลับไป แอนมีความรู้สึกว่ามันให้อะไรเยอะมากเลยสำหรับหนังเรื่องนี้ บวกกับว่าเรามีความรู้สึกว่าเราได้ใช้ความสามารถทางด้านการแสดงของเราไปทุ่มเทกับเรื่องนี้ได้เยอะมาก ๆ เลยก็เลยรับเล่น ได้ใช้ความสามารถของเราได้เต็มที่
คำถาม ทราบมาว่าตอนอ่านบทแอนถึงกับร้องไห้เลยทีเดียว
แอน ก็ตั้งแต่ตอนอ่านบทรอบแรกแล้วร้องไห้ ที่นี้พออ่านรอบต่อไปรอบที่2ก็ร้อง แล้วพอรอบ 3 ก็ยังร้อง รอบ4ก็ยังร้องอีก เราก็เฮ้ยแสดงว่ามันต้องมีอะไรแล้วแหละ เราก็มานั่งดูอีกทีหนึ่งว่ามันมีอะไรน่าสนใจ แล้วพอมาแยกแยะดูอีกทีก็เออมันใช่แอนมีความรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง เพียงแต่ว่าบางคนอาจจะมองว่ามันเป็นหนังรัก มันอาจไม่ได้อยู่ในกระแสใช่มั้ยค่ะ เอมันจะสนุกไหมนะ มันจะดีรึเปล่า แอนก็ไม่อยากให้ตัดสินใจกันแค่กรอบข้างนอก ลองไปดูกันก่อน แอนมั่นใจว่าหลาย ๆ คนน่าจะชอบ น่าจะดีนะคะ
คำถาม สำหรับหนุ่มเป็นอย่างไรบ้างกับการพลิกบทบาทครั้งแรกใน THE LETTER
หนุ่ม ครับก็พลิกบทบาทมาเล่นเป็นผู้ชายอบอุ๊น อบอุ่น แสนดี ก็ยากไหม ยากครับ ทำงานด้วยกันกับแอน แอนเขาเก่งมากก็เลยทำให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
คำถาม แล้วสำหรับแอนหละ
แอน คือเรื่องนี้เราไม่ได้ชมโยนกันเองไปมา แอนคิดว่าคนเล่นต้องมีวินัย และต้องมีพลังสูงมากๆ ถึงจะเล่นได้ แล้วพอเป็นหนุ่มแอนรู้สึกว่าใช่เลย เพราะถ้าหนังเรื่องนี้ตัวแสดงไม่แข็งแรง หมายถึงไม่อึดพอเนี่ยนะค่ะ มันก็จะไปยากเหมือนกัน แอนมีความรู้สึกว่ามันต้องใช้อารมณ์สูงมาก
หนุ่ม ครับไม่งั้นคนดูจะไม่เชื่อ
แอน จะไม่เชื่อเลย
หนุ่ม มันจะบาง ๆ ไปเลย ถ้าเกิดเล่นเยอะไป คนดูจะอ้วก ถ้าเล่นน้อยไปคนดูจะไม่รู้สึก
แอน ไม่รู้สึกอะไรซึ่งมันยากมาก มันเล่นท้าทายความรู้สึกของเราไงค่ะ ถือว่าเป็นอะไรที่โชคดีมากที่ให้เราเล่นเรื่องนี้ มันก็อาจจะคลิ๊กพอดีด้วยทีว่า ปากเดียวกัน แล้วเราก็คุยกันรู้เรื่อง แต่ว่ามันก็อาจจะไม่ได้ฉีกบทบาทของตัวหนุ่มกับแอนอะไรมากมายขนาดนั้น เพราะแอนเองก็เคยเล่นบทร้องไห้มาแล้ว แต่ว่าบรรยากาศและวีธีการเล่าเรื่องมันจะต่าง จากละครเยอะ อยากให้ไปดูกันเพราะว่ามันต่างแน่นอน แล้วก็มันกลืนลง คือมันเป็นเรื่องที่แบบว่า เวลาเศร้าก็เศร้าจนกระอักเลย เวลาสุขมันก็สุขจนล้นคอหอย มันไม่สมดุลย์ เราจะทำอย่างไรให้ชีวิตมันสมดุลย์ เรื่องนี้มันอะไรหลาย ๆ อย่างที่มันลงตัวเยอะคะ อยากให้ลองไปดู
คำถาม หนุ่มหละเขินไหม
หนุ่ม ก็คงเขินเฉพาะเวลาที่มันต้องเล่นซีนที่มันจู๋จี๋ กุ๊กกิ๊ก ๆ อะไรอย่างนี้ ก็เขิน ๆ เหมือนกัน แต่ว่าแอนเขาก็ทำให้มันสบายขึ้น และก็ผ่านไปด้วยดี
แอน ก็อย่างที่บอกว่าเวลาเล่นก็เต็มที่กัน ไม่ต้องเกรงใจ คุยกันได้ อันไหนที่แอนรู้สึกว่าอึดอัด แอนไม่ชอบ แล้วหนุ่มอย่างเนี่ย เราก็จะบอกกันตรง ๆ เขาก็จะถามเราก่อนว่า เราโอเคไหม ก็อย่างที่บอกในหนังเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรที่หวือหวาเลย
หนุ่ม ไม่มี
คำถาม แล้วเลิฟซีนหละ
แอน เลิฟซีน
หนุ่ม เต็มเหนี่ยวก็หอมแก้ม
แอน มากสุดก็แค่นั้นแหละ
หนุ่ม จับมือ กอด หอมแก้ม น่ารักออก จริง ๆ ดี ๆ
แอน แอนเชื่อว่าในหนังเรื่องนี้มันมีอะไรมากกว่านั้น แอนเชื่อว่าไม่ต้องรอฉากอย่างนี้หรอก มันจะมีอะไรที่มาทดแทนความรู้สึกตรงนั้นของคุณไปเอง มันมีอะไรอย่างอื่นเติมเต็มให้
หนุ่ม ผมว่าถ้าไม่โป๊เนี่ยมันจำความรู้สึกได้ดีกว่านะ
แอน (หัวเราะ)
หนุ่ม มั้ง
คำถาม แล้วตั้งแต่ที่เล่นมาประทับใจฉากไหนมากเป็นพิเศษ
หนุ่ม ผมชอบฉากที่นั่งกอดกันตรงประตู ที่เช็ดผมให้ แล้วความรู้สึกมันก็เต็มมาก
แอน จริง ๆ ในหนังนี่มีอะไรเยอะมาก ๆ แล้วฉากที่แอนชอบมันมีหลายฉาก แต่มันมีอยู่ฉากหนึ่งที่ ต้น(หนุ่ม)เขาอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วเขาบอกว่าเขาแย่แล้ว แล้วเขาบอกว่ามันสายเกินไปสำหรับเขาแล้ว แอนอธิบายไม่ถูก แล้วเราก็จะบอกเขาว่ามันไม่สายหรอก คือประเภทให้กำลังใจตัวเองแบบแย่ ซึ่งเห็นอยู่แล้ว รู้อยู่แล้วว่าพระเอกต้องไป แต่นี้ตัวเราก็ยังดันทุรัง อะไร อย่างเนี่ย ซึ่งต้องไปดูเองเพราะมันอธิบายไม่ถูก แล้วก็มีอีกหลายอันประเภทที่ว่าโทรมาหาเขาเพราะกลัวเขาป่วย อยากฉากที่โทรมาหาต้นแล้วบอกเขาว่าเรารักเขาที่สุด ซึ่งในหนังมันจะมีอะไรต่อเนื่องในฉากนี้อีกหลังจากที่เราโทรมาหาเขา
หนุ่ม ซีนนี่แหละเอาตาย
แอน เอาตายเลย
หนุ่ม จริง ๆ ครับ
คำถาม ถ้าเขาฉายจะพาคนรู้ใจไปดูไหม
แอน เราก็หว่านล้อมเพื่อนๆ ทุกคนแล้วเหนาะว่าให้ไป ต้องไปดูกัน ทุกคนมีความรักอยู่ในใจกันหมดนั่นแหละ เพียงแต่ตอนมาดูอาจจะมีบางส่วนที่โดนใจกันบ้างนั่นแหละ มันเป็นหนังดีที่คนทำตั้งใจทำ อย่างพี่อ้อม(ดวงกมล ลิ่มเจริญโปรดิวเซอร์)ก็ตั้งใจทำ บางคนอาจจะมองว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในกระแสรึเปล่า จะเหนื่อยไหมในการโปรโมทอะไรอย่างเนี่ย ถ้าถามเราว่าเราห่วงไหม เราก็ห่วงนะ แต่มันมีพลังในใจบางอย่างที่เราพร้อมที่จะเสี่ยงกับมัน ด้วยคุณภาพของมัน เราเชื่อว่าคนสมัยนี้ต้องการจะเสพคุณภาพมากขึ้นแล้ว แอนเชื่อว่าตรงนี้เราทำกันอย่างเต็มที่ ไม่ได้มักง่ายกับการนำเสนอเลย ก็น่าจะได้อะไรดี ๆ กลับมาบ้างแหละเราก็คิดเข้าข้างตัวเองอย่างนั้นไป(ยิ้ม)
คำถาม ที่ผ่านมามีคนติดต่อเอาบทหนังมาเสนอเยอะไหม
แอน ก็มีค่ะ แต่เป็นหนังผีซะเยอะ แต่ว่าไม่ได้เล่น เพราะบางที บางจังหวะแอนยุ่งมาก แอนไม่ว่าง บวกกับที่หนังผีต้องถ่ายดึก แล้วแอนต้องทำงานตอนเช้า ก็เลยไม่ได้เล่นด้วย หลังจากนั้นก็เริ่มถ่าย THE LETTER พอหลังจากถ่ายTHE LETTER ก็ยังมีคนมาชวนไปเล่นหนังผีอีก คิดว่าคงมีคนอยากจีบแอนไปเล่นหนัง ทำอะไรทีมันแปลก ๆ บ้าง เข้าใจว่าอย่างนั้นนะค่ะ
คำถาม ตัดสินใจอยู่นานไหมกว่าที่จะยอมใจอ่อนมาเล่นหนังเรื่อง THE LETTERนี้
คำตอบ ก็มีการอ่านบท 4-5 รอบนั่นแหละค่ะ ไม่ได้นานเลยค่ะ เพราะตอนที่อ่านบทครั้งแรกแล้วก็ชอบเลย คือปกติแอนเป็นคนที่เวลาหยิบบทมาอ่านเนี่ย ถ้ามันใช้เนี่ย แอนอ่านปรึ้ดเดียวจนหมดเลย ละครเรื่องหนึ่งอ่านแป๊บเดียวเอง แต่ว่าถ้าเรื่องไหนมันไม่ใช่ทางที่เราชอบแล้ว อ่านเท่าไหร่มันก็ไม่จบ แต่เรื่องนี้แอนใช้เวลาเพียงแป๊บเดียวเองแล้วแอนก็อ่านมันจนจบ แล้วส่วนที่บอกว่าแอนร้องไห้เนี่ย มันเยอะมากค่ะ อยากจะร้องรอบ 2 รอบ 3รอบ4 ก็ยังร้องเป็นอะไรเนี่ย ซึ่งเราเองก็ยังงงตัวเราเอง แสดงว่ามันต้องมีอะไรอยู่ในตัวของมันน่ะ ก็น่าลองน่าเล่นดู
คำถาม ที่บอกว่าหนังเรื่องนี้ใช้พลังและความสามารถทางการแสดงที่มีอยู่ทั้งหมดไปกับหนังเรื่อง จดหมายรักนี้ มันหมายความว่าอย่างไร
คำตอบ ก็หมดเลย คืออย่างที่บอกคือละคร เล่นหนเดียว ร้องไห้ครั้งหนึ่งมีกล้องรับ 3 ตัว รองรับพร้อมกัน ถ้าเราเล่นได้ก็จบ แต่หนังไม่ใช่ อย่างร้องไห้เสร็จแล้ว ก็ต้องไปร้องไห้อีกรับกล้องมุมนั้นมุมนี้เป็น 10 ๆ มุม แอน เคยร้องจนถึงขั้นมันปี๊ดหนักมากจนถึงขั้นเส้นเลือดฝอยแตก เป็นเหมือนเลือดกำเดาไหลออก เป็นเล็ก ๆ ไม่เยอะ เป็นอยู่อย่างเนี่ยอยู่เป็นอาทิตย์ แต่ก็เป็นซึม ๆ ออกมาบ้าง อาจเป็นเพราะเราไปปี๊ดกับมันเยอะ แต่หลังจากนั้นก็หายไป ก็ตั้งแต่เล่นละครมาก็ไม่เคยเป็นอย่างนี้ แต่อันนี้เป็นหนักสุด ก็เลยมีความรู้สึกว่า โอ้โหนี่เราทิ้งพลังออกมาอย่างเต็มที่แล้ว เล่นแล้ว ที่นี้แล้วอย่างการที่บอกว่าทุกคนต้องถือผ้าเช็ดหน้าไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยนะ จริง ๆ บางคนอาจจะไม่ร้องก็ได้นะ เพราะอาจจะไม่โดนใจก็ได้ เพียงทว่า แต่ในฐานะที่เป็นคนทำหนัง แล้วเราชอบเหมือนกันด้วยบวกกับการที่เราเล่นเต็มที่มาก ๆ มันก็เลยอาจทำให้คนอื่นเกิดความรู้สึกประทับใจบ้าง อาจจะมีบางคำพูดบางเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนน้ำตาซึม อาจจะไม่ถึงกับร้องไห้เป็นราวหรอก อย่างนั้นก็ได้ แอนอาจจะคิดอย่างนั้นนะ
คำถาม ที่บอกว่าร้องไห้ นี่ขนาดไหน เยอะไหม ตั้งแต่กี่โมง
คำตอบ อย่างฉากที่หนุ่มอัดวิดีโอมาให้เราดู เฉพาะฉากนั้น แอนก็ต้องร้องไห้ตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงบ่าย 2 คือร้องมาเรื่อย ๆ ร้องแล้วหยุด หยุดแล้วร้อง โคลสอัพใกล้ๆ นะเมื่อกี้น้ำตาแอนไหลมาเท่านี้นะ ถ้าแอนช่วยผมได้ก็ช่วยให้มันอยู่ในระดับเดิมหน่อย คือพี่ผู้กำกับเขาก็ขอ ถ้าทำได้ก็ทำให้ซึ่งทุก ๆ อย่างในกองจะร่วมมือกันหมดเลย เราไม่มีเวลาไปconcentrate อย่างอื่นเลย มีเวลาก็อยู่ตรงนั้น มันก็ต้องคลุมตัวเองให้ยังคงอาการเศร้าตรงนั้นให้ได้ไปเรื่อย ๆ อยู่ๆ หลังกองหนุ่มจะชวนแอนไปซื้อชาดำเย็นกินกันก็คงไม่ได้ เพราะมันจะกระชากอารมณ์แล้ว แล้วแอนต้องอยู่ของแอนคนเดียวในอารมณ์ตรงนั้น ก็จะเหนื่อยหน่อย ซึ่งแบบนี้คนเล่นหนังอาจจะเครียด แต่คนดู หนังไม่ได้เครียด เพราะหนังมันจะมีหลายช่วง ช่วงที่ดูสบาย ๆ ช่วงแย่ๆ และช่วงกลับมาสบายๆ จะเป็นอย่างนั้นมากกว่า ซึ่งเชื่อว่าเมื่อออกจากโรงไปจะไม่อึมครึมออกไปหรอก ก็คงจะโล่งๆ ออกไปจากการจบของหนังมากกว่า
คำถาม ที่บอกว่าเครียดหรือกังวลใจ แอนกังวลใจในเรื่องอะไร
แอน ถ้าเครียดก็จะเครียดที่ว่า คือตอนแรกที่บอกแอนค่อนข้างจะกังวลใจเหมือนกัน เพราะเราเล่นกันอยู่ 2 คน แอนกับหนุ่ม ไม่มีตัวแสดงอื่นมากนักก็ไม่เป็นไรแต่ก็กังวลใจ มีก็นิดหน่อย เอ้ ออกมาจะเป็นอย่างไรนะ คนจะชอบรึเปล่าแต่อย่างที่บอกเวลาที่ไปฟังพี่อ้อมพูด เออแอนพี่ฝากหนังเรื่องนี้ด้วยนะ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องสุดท้ายของพี่แล้ว พี่ไม่รู้ว่าจะได้อยู่ดูรึเปล่า แล้วก็พี่อยากให้คนที่ดูออกจากโรงหนังไปแล้วกลับไปรักแฟนตัวเองมาก ๆ คนเราเวลาอยู่ด้วยกันชอบทะเลาะกัน ง้องแง้งใส่กัน แอนเชื่อว่าอย่างน้อยเขาดูหนังเรื่องนี้จบอาจจะไม่ได้รักกันตลอดชีวิตหรอก แต่อย่างน้อยก็มีสัก 2วันที่เขารู้สึกดีต่อกันมันก็มหาศาลสำหรับพี่แล้ว แอนก็เอ้ย ฟังจากพี่อ้อมแค่นี้แล้วความกังวลใจว่าหนังจะเป็นยังไงก็หายไปเลย มันเหมือนมีพลังอะไรบางอย่างมาแทนที่ว่า ขนาดคนสร้างเนี่ย ตั้งใจจะทำดีขนาดนี้แล้ว แล้วเราซึ่งเป็นคนที่มี่กำลังพอที่จะสานฝันเขาได้เนี่ย เราควรที่จะทำมันให้เต็มที่ คราวนี้แอนเลยเต็มเหนี่ยวเลย ไม่กังวลอะไรหละ แอนก็เล่นสุดเหวี่ยงเลย แล้วพวกเราทีมงานเต็มที่กันมาก ๆ พวกเราทำดีที่สุดแล้ว
คำถาม พูดได้ไหมว่าเป็นบทที่เศร้าที่สุดในชีวิต
แอน ที่ผ่านมาแอนเองก็ยังไม่เคยเล่นอะไรที่เศร้าขนาดนี้ เพราะส่วนใหญ่ที่เล่นอย่างละครเองก็จะเป็นพวกโรแมนติคคอมิดี้มากกว่า อย่างสายรุ้ง หรือมณีหยาดฟ้าก็ไม่เศร้าขนาดนี้ แต่สำหรับTHE LETTERมันเป็นรักแบบดราม่ามาก ๆ แล้ววิธีการเล่าเรื่องก็จะไม่เหมือนละคร แต่สไตล์การเล่นมันจะคล้าย ๆ รึเปล่าแอนไม่รู้ ซึ่งแอนก็ไม่ได้ถึงกลับพยายามหนีตัวเองหรอก แต่แอนเล่นไปตามความรู้สึกที่ว่าแอนต้องการเล่นแบบนี้ ต้องการเล่าเรื่องแบบนี้ แอนก็เล่นไปแบบนั้น เพราะฉะนั้นอาจจะไม่ได้เห็นแอนต่างไปจากละครก็ได้ เพียงแต่ว่าวิธีการตัดต่อของหนังหรือการที่มันไปอยู่บนแผ่นฟิล์มหรือการที่เราได้ประกบบทบาทกับพระเอกอีกคนหนึ่งนั่นแหละคือความต่างของมัน แล้วก็เรื่องของเขา ทำให้เกิดเป็นความต่างจากละคร เพราะเรื่องของมันก็ไม่ใช่แบบหรือลองจบแบบฆ่ากันพระเอกตาย นางเอกตายนี่คนดูต้องเขียนต่อว่า 3 วันไม่จบ แต่สำหรับเรื่องนี้มันมีอะไรที่เป็นคน เป็นจริงเป็นจังสัมผัสได้มากกว่า มีทั้งสุขทั้งทุกข์มีทั้งเลวทั้งดี อย่างเราเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ทำอะไรเลย แล้วอยู่มาวันหนึ่งสามีไม่อยู่เราก็ต้องทำเอง ทำโน่นทำนี่ แบบธรรมชาติจริง ๆ แล้วแอนเล่นเรื่องนี้ก็แทบไม่ต้องแต่งหน้าเลย เลยไม่รู้ว่าหน้าตาชั้นจะเป็นอย่างไรอย่างเวลาแอนเล่นละคร แล้วแอนไม่แต่งหน้า หน้าแอนจะมีกระ เดินไปป้าที่ขายพวงมาลัยจะบอกว่า น้องแอนๆทำไมน้องแอนไม่ปิดกระให้มันหมดอะไรอย่างนี้ ป้าชอบเรียบๆเนียนๆ แต่เรื่องนี้ด้วยความเป็นธรรมชาติของเรา 100% เลย เห็นยังไงก็เห็นอย่างนั้น
คำถาม เป็นบทที่เข้าทาง
แอน : คะ เข้าทาง ก็ชอบ มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าฉีกสำหรับแอนมากด้วย หมายความว่าโดยคาแรคเตอร์แอนก็ชอบ แอนเป็นคนชอบอะไรแบบนี้ แต่แอนไม่ใช่คนเครียดกับชีวิตนะคะ บางทีคนก็คิดว่าทำไมต้องรับแต่บทร้องไห้ แต่แอนกก็ชชก็ชอบของแอนด้วย อย่างที่บอกไม่อยากหนีตัวเองมาก ชอบก็ทำ อยากทำก็ทำ
เปิดซอง จดหมายรัก รอบปฐมทัศน์
เขียนโดย Deknang
เสาร์, 12 มิถุนายน 2004
เพิ่งเรียก "น้ำตาแรกแห่งความซาบซึ้ง" กันไปเมื่อคืนวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา สำหรับหนังรักซึ้งเรื่อง "จดหมายรัก" ผลงานการกำกับหนังครั้งแรกของผู้กำกับหญิงเก่งอีกคนของวงการอย่าง "ผอูน จันทรศิริ" ที่สามารถหอบเอาเสน่ห์และพลังดาราของสองนักแสดงคุณภาพ "แอน ทองประสม" และ "อรรถพร ธีมากร" มาขึ้นจอได้อย่างลงตัวและตรึงใจเอามาก ๆ ทีเดียว
งานรอบสื่อมวลชนในครั้งนี้ จัดขึ้นที่โรงภาพยนตร์อีจีวี เมโทรโพลิส ท่ามกลางดารา ผู้กำกับ คนในวงการบันเทิง สื่อมวลชน และผู้ชมมากหน้าหลายตาที่ต่างก็พร้อมใจมาพิสูจน์หนังรักคุณภาพ และให้กำลังใจกับเหล่านักแสดง ผู้กำกับ และทีมงานหนังเรื่องนี้กันอย่างเต็มที่ เท่าที่เราเห็นมาก็มี เต๋า-นัท (มาเพื่อแย่งซีนสุด ๆ), สินจัย เปล่งพานิช (ฉายเดี่ยวแบบสวยเฉียบเช่นเคย), จินตหรา สุขพัฒน์ (รัศมีนักแสดงคุณภาพไม่มีเลือนหาย), ปรียานุช ปานประดับ (ถึงเป็น 'ซ้อ' ก็ยังดูดีอยู่), ปรัชญา ปิ่นแก้ว (ราศี 'เสี่ยใหม่' ฉายแววมาแต่ไกล แต่เอ๊ะ 'น้องโทนี่ จ๊ะ' หายไปไสวา), อังเคิล (ทิ้งความ 'ช้ำ' ไว้ก้นบึ้ง แล้วบึ่งรถมาร่วมงานด้วยหน้าระรื่น), พจน์ อานนท์ (เจ๊ไฉไล สวยพริ้งฉายเดี่ยวมาด้วยอาภรณ์ของ 'หลุยส์ วิต' เอ่ออออ ขอโทษที เราคงตาลายไปชั่วขณะ ก่อนเรียกสติกลับคืนมาและเพ่งตามองอีกที อ้าว ชุดเชิ้ตขาว ประตูน้ำหรอกหรือนั่น ขอโทษขาเมาท์อีกที ที่เราไม่อาจบอกได้ว่าขากลับเธอ 'เก็บ' ใครไปได้หรือเปล่า :P )
นอกจากนี้ยังมีคนในวงการอีกหลายคนมาร่วมงาน แต่เราขี้เกียจนึกย้อนกลับไป ณ ช่วงค่ำคืนนั้น (ไม่มี ๆ เราไม่ได้ 'ลืม' หรอกนะ)
งานบนเวทีถูกดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและคุ้นเคย รวมถึงสามารถเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มได้จากการ "ปล่อยมุก" ของพิธีกรหญิงคู่ "ปวันรัตน์-ญาณี" ซึ่งเป็นเพื่อนซี้ของผู้กำกับนั่นเอง แน่นอน, คุ้นเคยที่เราว่าก็คือ พิธีกรเกริ่นนำ, สัมภาษณ์นักแสดง-ผู้กำกับ, ฉายหนังตัวอย่าง, ถ่ายรูปหมู่ และปล่อยตัวผู้ร่วมงานที่ส่วนใหญ่มาเพื่อ "ของฟรี" เข้าโรงหนัง (ส่วนทีมงานก็ "ล่ก ๆ" เก็บข้าวของอย่างคุ้นเคยเช่นกัน :P )
และแล้ว "โรงหนังก็เริ่มมืดแสง" และแล้ว "ฟิล์มก็เริ่มหมุนไปตามม้วน" และแล้ว "หนังก็เริ่มฉายภาพ" และแล้ว "ผู้ชมก็เริ่มอิน" และแล้ว "เสียงหัวเราะก็หลุดออกมาให้ได้ยิน" และแล้ว "รอยยิ้มก็อาบทั่วใบหน้า" และแล้ว "ต่อมซึ้งก็เริ่มทำงาน" และแล้ว "น้ำตาก็เริ่มคลอเบ้า" และแล้ว "มือก็เริ่มปาด จมูกก็เริ่มซู้ด" และแล้ว "ตาและจมูกก็แดงพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายทั้งชายหญิง" และแล้ว "ความรักของเขาและเธอก็ตรึงใจคุณไปอีกนาน"
ถ้าคุณเป็นหนึ่งในผู้ร่วมงานของค่ำคืนนั้น คุณน่าจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศ "ชื่นมื่น" ก่อนหนังฉาย และ "เต็มตื้น" หลังหนังจบบ้างไม่มากก็น้อย แต่ถ้าคุณไม่ได้เป็นหนึ่งในผู้อัดแอเหล่านั้น เราก็ไม่อาจถ่ายทอด "อารมณ์" ทั้งหมด นั้นออกมาให้รับรู้ได้หรอก นั่นต้องเป็นหน้าที่ของคุณแล้วล่ะที่จะไปร่วมพิสูจน์ "ความรู้สึก" นั้นด้วยตัวคุณเอง 24 มิถุนายน ทุกหัวใจ จะร้องไห้ เพื่อความรัก.
แสดงความคิดเห็น