สุดสาคร : แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
เขียนโดย Obelisk
ศุกร์, 01 ธันวาคม 2006
ผ่านเวลาล่วงเลยมาหลายปี จนคนที่เคยคอย แรงก็เริ่มผะแผ่วเบาลงทุกขณะ "สุดสาคร" คือโปรเจ็คต์ที่ว่านั้น ผลงานการแสดงเรื่องที่ 3 ของน้องแน็ค แฟนฉัน ถัดจาก "กาลครั้งหนึ่งเมื่อเช้านี้" และ "แฟนฉัน" แต่มาออกฉายหลังหนังเรื่องที่ 4 "เด็กหอ" ลงดีวีดีไปนานเนิ่น
อภิมหาโปรเจ็คต์หนังขายซีจีสุดลึกล้ำพิสดารเรื่องนี้ของ Mono Film ยังคงทำได้ในระดับแย่เทียบเท่า "ไพรีพินาศ"
เมื่อ สุดสาคร (แน็ค ชาลี) กับแม่เงือกใช้ชีวิตดำผุดดำโผล่ว่ายในน้ำทะเลอย่างเพลิดเพลิน
วันหนึ่งของหนัง ให้สุดสาครไปสะดุดกับม้านิลมังกร และพระเจ้าตาเจ้าขาเอย ให้ทำตามวิถีลิขิตชีวิตโดยการตามล่าหาพ่อ ที่ชื่อ พระอภัยมณี เรื่องราวจึงจบลง เฮ้ย เกิดขึ้นด้วยการใส่ช่วงเวลาของ 3-4 เหตุการณ์ ที่ผจญภัยประสบ และในสไตล์หนังที่ขับออกมาได้เพียงแค่ละครพื้นบ้าน พื้น ๆ สิว ๆ เชย ๆ เรื่องหนึ่ง
การเล่าเรื่อง การผูกโยง เป็นการใส่โน่นนี่ที่หนังคิดว่ามโหฬารใหญ่ยักษ์ แต่มันก็เป็นได้แค่เพียงการมองอย่างยิ่งใหญ่ในโลก(ทัศน์) แคบ ๆ
อาจเพราะตัวแสดงทุกตัวในเรื่อง ไม่มีตัวละครไหนมีพลังงานมาก เรียกได้ว่าไม่มีพลังงานซะด้วยซ้ำ ไม่มีพลังงานมากพอที่จะดันดึงอะไรออกมา
เอาล่ะสิ ตัวหนังก็เปล่าเปลือย ตัวละครยังเบาหวิวเหลือทนด้วย
ทุกอย่างที่รวมเป็นหนังจึงออกเป็นหนังเด็ก ๆ แบบว่าไม่ต้องใช้สมองผู้ใหญ่คิด ก็หนังเด็กนี่หว่า จะเรียกร้องเอาไรวะ โลจง Logic หลักการเหตุผลของตัวละครจึงไม่จำเป็นต้องมี ในเมื่อหนังเรื่องนี้เป็นเพียงปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรมของบทอันเท้งเต้ง
การพบเจอะเหตุการณ์โน่นนี่ บทสนทนาของแต่ละตัวละคร ผ่านมาเพื่อรวมเก็บเวลาให้ครบ 1 ชั่วโมงกว่าของเวลาฉาย
บางทีผีเข้า หนังก็จงใจขายฉากแอ็คชั่น เอามันส์ พะบู๊ฟาดฟันกองทัพเกรียงไกร
มิวายว่านั่นคือ การเลือกใช้นักแสดงจากฟากฝั่งวงการละครทีวี ที่แน่นอนเหลือเกินว่า ความโอเวอร์แอ็คติ้งแบบละครจึงสถิตย์อยู่ตรึมในหนัง ไม่เว้นแม้แต่ พระเจ้าตา (สุเชาว์ พงษ์วิไล) และ ท้าวอุศเรน (ดุ๊ก ภาณุเดช)
เหตุการณ์ผจญภัยของสุดสาครที่คนดูได้เห็นจึงเป็นการพยายามขายโชว์ความก้าวไกลของวิวัฒนาการซีจีว่า ชั้นทำได้ ทำเนียนนะเฟ่ย ประมาณว่าคนไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลกแถบพัฒนาแล้วเทือกนั้น
เอ่อ แต่สารตกผลึกของซีจีก็ไม่ได้อลังการวิจิตรศิลป์ถึงขั้นด้วยซ้ำ
อาจจะเป็นความเข้าใจผิดของคนทำหนังแน่ ๆ เพราะเมื่อหนังขาดพลังจากทุกสารทิศมาประกอบกัน หนังจึงทำหน้าที่เพียงการพยุงหมุนของฟิล์มในความเร็ว 24 เฟรม ต่อวินาที ให้ผ่านพ้นไปเท่านั้น
สำหรับเรื่องนี้ อาจจะไม่สามารถหยิบยก ฉาก-ซีน ขึ้นมาแงะแทะด่าทอได้อย่างถนัดปาก เพราะตัวหนังได้ทำหน้าที่ที่ดีที่สุดเพียงเท่านั้นทั้งเรื่อง ด้วยความอ่อนแอ ไม่มีซีนไหน ฉากใด โดดด้อย โดดเด่น ไปกว่ากัน
เวลาไหลผ่านในช่วงเวลา 1 ชั่วโมงกว่าอย่างไม่มีอะไรให้ติดตามและคิดตาม
ใช่สิ มันแค่หนังขายขยายจินตนาการสุดลึกล้ำนี่หว่าแก จะเอาไรเหลือคณานับกับองค์ประกอบอื่นวะ ฉะนั้นฉะนี้ ถ้าแกจะได้เห็นความโง่ดายของบางตัวละคร มันก็สมเหตุสมผล เป็นเหตุและผลในตัว
และเมื่อเทียบกับ "ไพรีพินาศ" หนังน่าจะอยู่ในเกรดเดียวกันเป๊ะเด๊ะ คือไม่ได้เลวระยำไร้ทิศทาง หากแต่ก็เป็นความพยายามอย่างว่างเปล่าที่สุด โดยไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ใด ๆ เลย
ส่งท้ายความยิ่งใหญ่ที่บทขมวดมาให้พบเจอพ่อบังเกิดเกล้า จึงเป็นการดลให้เป็นไปของบทแบบง่าย ๆ ชิล ๆ แบบว่าบังเอิญมาเจอพ่อท่านเข้าซะงั้น
หนัง Mono Film อาจจะยังต้องต่อกรกับบทหนังที่ว่างเปล่าของตัวเองมากกว่าการใส่แค่จินตนาการในความว่างเปล่าของบูลสกรีน
แต่ "สุดสาคร" ก็ไม่ใช่หนังประเภทรวบประดาความเห่ยให้เราส่ายหัวทุกฉาก เพียงแค่อาจต้องดูหนังเรื่องนี้ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า สมองเปิดโล่ง คือกองสมองไว้นอกกบาล และไม่มีความทรงจำใด ๆ กลับไป
แล้วสอนว่า อย่าไว้ใจมนุษย์ มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด หึหึ
แสดงความคิดเห็น