กำหนดฉาย : 27 เมษายน 2549
ทีมงานสร้าง : ผจญภัย-ระทึกขวัญ (แนวภาพยนตร์) / สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล (บริษัทผู้สร้างและจัดจำหน่าย) / จอไทย (บริษัทผู้ผลิต) / สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ (อำนวยการสร้าง) / มานพ อุดมเดช (ควบคุมงานสร้าง) / ศุภวรรณ รอดเกิด, พรสุวีณ์ พันธ์พงศ์พิพัฒน์ (ดำเนินงานสร้าง) / ชนินทร เมืองสุวรรณ (กำกับภาพยนตร์) / มานพ อุดมเดช, ชลัท ศรีวรรณา (บทภาพยนตร์) / พิษณุ วริรักษ์ (สตอรี่บอร์ด) / ธนัตถ์ เครือวรรณ์ (กำกับภาพ) / มนตรี มานุชานนท์ (ออกแบบงานสร้าง) / มานพ อุดมเดช (ลำดับภาพ) / บริษัท สวีท อายส์ จำกัด (เทคนิคพิเศษด้านภาพ) / ผไท พ่วงจีน (ดนตรีประกอบ) / อริศรา พลศรีเมือง (ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
ทีมนักแสดง : นพพันธ์ บุญใหญ่, กีรติกร รัตน์กุลธร, สิทธา เลิศศรีมงคล, พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์, ไอศิกา ตั้งศิริชานนท์, ต้องรัก อัศวรัตน์, ภูพาน คัญทัพ, กีรติ ศิวเกื้อ, ชัยพฤกษ์ พฤกษติกุล
คุณจะไม่มีวันลืม
กับความสยองขวัญครั้งใหม่
ที่รอกลืนกินทุกคน
อยู่ในความดิบเถื่อนของพงไพร
เรื่องย่อ
...ท่ามกลางธรรมชาติแห่งขุนเขาและพงไพร มีบางอย่างเร้นกายภายใต้ป่าลึกนั้นอย่างเงียบ ๆ...
...พนา ชายหนุ่มที่รักการถ่ายภาพเป็นชีวิตจิตใจ เขาชอบเดินทางไปท่องเที่ยวตามที่ต่าง ๆ เพื่อเก็บภาพความสวยงามไว้เป็นที่ระลึก วันหนึ่งพนาได้ไปท่องเที่ยวในป่าแห่งหนึ่งแถวเขตชายแดน ขณะที่เพลิดเพลินกับการเก็บภาพธรรมชาติที่สวยงามอยู่นั้น โดยไม่ทันตั้งตัว เขาโดนบางอย่างลากไปกินอย่างน่าสยดสยอง
...กลุ่มเพื่อนสนิทของพนาที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คือ คิน โก้ เสิด ก๋อย สีดา และ แพร แฟนสาวของพนา ทราบข่าวที่พนาหายไปอย่างลึกลับ จึงตัดสินใจที่จะเข้าไปตามหาพนาด้วยตัวของพวกเขาเองในป่า โดยการโดยสารไปกับบอลลูน ด้วยเหตุผลที่ว่าจะได้เห็นวิวด้านล่างของป่าอย่างชัดเจน
...แต่แล้วพวกเขาก็ต้องมาผจญกับลมพายุฝนรุนแรง จนทำให้บอลลูนตกกลางป่าลึกแห่งหนึ่ง
...ในค่ำคืนที่ฝนตกกระหน่ำ ทั้งหมดมาหลบฝนที่ใต้รูปปั้นแกะสลักพญานาค ทุกคนประหลาดใจจึงเดินขึ้นไปตามทางบันไดหินจนพบปากถ้ำ ทั้งหมดตัดสินใจเข้าพักแรมในถ้ำลับกลางป่าแห่งนั้น โดยหารู้ไม่ว่า พวกเขาได้ย่างกรายเข้าสู่อันตรายที่ยากจะต้านทานได้
...บางสิ่งกำลังเลื้อยออกจากการแฝงกายภายในถ้ำ เพื่อรับการมาเยือนของแขกผู้ไม่ได้รับเชิญโดยเฉพาะ...
...งูยักษ์ ที่อาศัยอยู่ในถ้ำลับนั้น ไม่รีรอที่จะออกมาต้อนรับเหล่าหนุ่มสาวกลุ่มนี้ด้วยการกลืนกินพวกเขาทีละคน ๆ ไม่ต่างจากเหยื่ออันโอชะ
...ผู้รอดตายจากคมเขี้ยวงูยักษ์ของค่ำคืนสยองนั้น จำเป็นต้องกระเสือกกระสนหาทางออกและวิธีทำลายงูยักษ์นั้น ก่อนที่มันจะคืบคลานเข้าใกล้พวกเขาอีกครั้งหนึ่ง
...แต่เมื่อสุดทางหนี พวกเขาจึงต้องเผชิญหน้าสู้กับมันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน
...นี่ดูเหมือนจะเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้พวกเขา...รอดชีวิต
รายละเอียดงานสร้าง
...สหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วมกับ บริษัท จอไทย ภูมิใจเสนอ ภาพยนตร์เรื่อง "โบอา...งูยักษ์" ภาพยนตร์แนวผจญภัย-ระทึกขวัญจากการโปรดิวซ์ของผู้กำกับมือเก๋า "มานพ อุดมเดช" ที่ผลักดันผู้กำกับหน้าใหม่ "ชนินทร เมืองสุวรรณ" ผู้ซึ่งมีประสบการณ์ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับมาหลากหลายเรื่อง ให้ขึ้นแท่นผู้กำกับภาพยนตร์เป็นครั้งแรก พร้อมด้วยการปลุกปั้นทีมนักแสดงหน้าใหม่อีกหลายคนเพื่อสร้างสีสันความแปลกใหม่ให้กับวงการภาพยนตร์ไทยโดยเฉพาะ
...ภาพยนตร์เรื่อง "โบอา...งูยักษ์" นี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากการเขียนบทของ "มานพ อุดมเดช" และ "ชลัท ศรีวรรณา" ที่ร่วมกันระดมความคิดและสร้างสรรค์เรื่องราวการผจญภัยแบบตื่นเต้นระทึกขวัญ โดยไม่ลืมสอดแทรกเนื้อหาสาระควบคู่ไปกับความบันเทิงในสไตล์ภาพยนตร์ไทยร่วมสมัย
"การเขียนบทเรื่องนี้ เดิมทีนั้นผมเองก็มีโครงเรื่องคร่าว ๆ อยู่แล้ว หลังจากนั้นผมก็ดึงคุณชลัท ศรีวรรณา ซึ่งถือว่าเป็นคนที่มีฝีมือในการเขียนบท และก็เคยเป็นผู้กำกับภาพยนตร์มาก่อน เข้ามาเป็นผู้ร่วมเขียนบท ในการทำงานระหว่างเราทั้งคู่ คือต่างฝ่ายต่างจินตนาการกันไป แล้วก็มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันว่ามันควรจะเป็นอย่างไร แน่นอนว่าต้องอยู่บนโครงเรื่องเดิมที่ผมได้วางเอาไว้แล้ว เพราะฉะนั้นการทำงานของเราจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่ตลอดเวลา บางอันผมก็อาจจะไม่ซื้อ บางอันเค้าก็อาจจะไม่เห็นด้วยกับผม แต่อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเราก็ต้องหาข้อลงตัวเพื่อที่จะให้ได้บทภาพยนตร์ที่ดีที่สุด เพราะในฐานะหนึ่งผมเป็นโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ถ้าผมคิดว่ามันลงตัว ผมก็เคาะมันตรงนั้นเลย การเขียนบทนี้ก็ใช้ระยะเวลาประมาณ 4-5 เดือนได้ครับ"
"หลายคนอาจจะแปลกใจว่า ทำไมเรื่องนี้ผมไม่กำกับซะเอง บางครั้งผมเองก็อยากได้มุมมองและก็วิธีการทำงานใหม่ ๆ ของคนซึ่งเป็นหน้าใหม่ของวงการ แต่ก็ไม่ถึงกับใหม่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลยในวงการภาพยนตร์ ผมก็พยายามมองดูแล้วก็พบว่าคุณชนินทร เมืองสุวรรณ น่าจะเป็นผู้ที่จะทำจินตนาการเรื่องนี้ออกมาได้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นผมจึงเลือกเค้า ทีนี้มาดูว่าประสบการณ์ในการทำงานด้านภาพยนตร์ของเค้ามีมากน้อยแค่ไหน คุณชนินทรก็เคยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับมายาวนานมากกว่า 10 ปี เคยทำงานร่วมกับผู้กำกับชั้นมือหนึ่งของเมืองไทยมาแล้วหลายคน ครั้งสุดท้ายก่อนที่คุณชนินทรจะมาทำงานร่วมกับผม เค้าได้ทำภาพยนตร์เรื่อง ‘สุริโยไท’ หลังจากนั้นก็มาช่วยผมใน ‘คืนบาป พรหมพิราม’ ฉะนั้นหลังจากที่ได้คลุกคลี ได้เห็นการทำงานร่วมกัน ได้เห็นวิธีคิดอะไรของคุณชนินทรแล้ว ผมก็ไว้วางใจให้เค้าได้มาเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้"
"ภาพยนตร์ซึ่งเป็นเรื่องของการผจญภัย มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่แล้วสำหรับตลาด และผมเองก็ชอบดูภาพยนตร์ที่เป็นผจญภัย ในภาพยนตร์เรื่องนี้สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่า เนื้อเรื่องค่อนข้างจะถูกใจผมมาก ๆ มันเป็นเรื่องของกลุ่มเด็กวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่มีพลัง เป็นวัยที่เมื่อคิดอยากจะทำอะไรก็ทำโดยอาจจะขาดความรอบคอบ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ชักจูงหรือดึงพวกเขาเข้าไปสู่ในสถานการณ์ซึ่งไม่คิดว่าจะได้เจอ... และความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ การทำซีจี ผมอยากให้หลาย ๆ คนไปดูแล้วก็จะยกย่องได้เลยว่า เมืองไทยนั้นสามารถทำเทคนิคทางคอมพิวเตอร์พวกนี้ได้อย่างดีมาก ๆ และนอกจากนี้ก็คงจะเป็นเรื่องของความสวยงามของโลเกชั่นในเรื่องซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่เคยเห็น ผมค่อนข้างจะประทับใจมาก"
...แม้จะมานั่งเก้าอี้ผู้กำกับเป็นครั้งแรก แต่ผู้กำกับหน้าใหม่ "ชนินทร เมืองสุวรรณ" ก็ใช้ประสบการณ์กว่า 10 ปีของการเป็นผู้ช่วยผู้กำกับชั้นครูอย่าง "ท่านมุ้ย หม่อมเจ้า ชาตรีเฉลิม ยุคล" และ "มานพ อุดมเดช" มาปรับใช้กับงานกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกของเขาได้เป็นอย่างดี
"กับพี่มานพเนี่ย คือเป็นการร่วมงานกันที่ผมแฮปปี้นะ คือเหตุผลที่ผมมาทำเรื่องนี้คือ จริง ๆ แล้วเพราะพี่มานพด้วยเป็นเหตุผลหนึ่ง เพราะว่าเค้าเป็นโปรดิวเซอร์ เค้าจะเป็นพี่ที่ดี จะคอยประคอง บางทีคือผมอาจจะเป๋ไปบ้าง เค้าก็จะแบบ เอ...น่าจะตบมาทางนี้นะ หรือบางทีผมก็รู้สึกว่า พี่...ผมว่าน่าจะไปตรงนี้นะ ซึ่งบางทีถ้าเป็นโปรดิวเซอร์ที่อื่นเค้าจะแบบว่า เฮ้ย...มันเสียเงินเยอะนะ อะไรแบบนี้ แต่พี่เค้าจะบอก ไม่เป็นไร ถ้ามันดูดีและดูโอเคเข้ากับเรื่องราวก็ไม่มีปัญหา"
"ในการกำกับหนังเรื่องนี้ แต่ละคนก็จะมีแนวแตกต่างกันไป สไตล์ใครสไตล์มันซึ่งมันก็จะเป็นคาแร็คเตอร์ของแต่ละคนอยู่แล้ว ซึ่งผมก็พยายามจะเสริมคาแร็คเตอร์ของผมเข้าไปบ้าง มันเป็นความรู้สึกของเราที่ว่า เฮ้ย มันน่าจะมีอะไรที่เราอยากให้มี แล้วเราก็เสริมเข้าไปบ้าง แต่ว่าเราก็จะเคารพในตัวบทเป็นหลัก จริง ๆ แล้วผมคิดไว้นานแล้วล่ะว่า ถ้ามีโอกาสได้ทำหนังเองเนี่ย ผมก็อยากให้พี่มานพเขียนบทให้ด้วยอยู่แล้ว พอได้มาทำจริง ๆ และก็มีพี่มานพเขียนบทให้ มันก็ยิ่งดีใหญ่เลย เป็นเหมือนที่เค้าเรียก Strong นั่นล่ะครับ บทเค้าจะแข็งแรง แล้วก็เป็นเรื่องที่ดูแล้วไม่เฉไฉ ดูแล้วสนุก เวลาทำงานเรื่องนี้ เราก็ทำตามบทไปได้เลย เพราะบทมันดีอยู่แล้วครับ"
...ในส่วนของโลเกชั่นในการถ่ายทำของภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น เรียกได้ว่าเป็นการบุกป่าฝ่าดงไปหลายสถานที่และหลายจังหวัด เพื่อให้ได้โลเกชั่นที่นอกจากจะสอดรับกับเรื่องราวเป็นหลักแล้ว ยังมีความสวยงานและแปลกตาอย่างไม่ค่อยได้พบเห็นกันบ่อยนักในภาพยนตร์ไทยเรื่องหนึ่ง ๆ ด้วย โดยทีมงานได้เลือกใช้ "ถ้ำขมิ้น" และ "อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็น (น้ำตกดาดฟ้า)" จังหวัดสุราษฎ์ธานี, "ถ้ำธารลอดใหญ่-ธารลอดน้อย" จังหวัดกาญจนบุรี รวมถึงทุ่งหญ้ากว้างและป่าที่จังหวัดสระบุรีด้วย
"เรื่องของความสวยงามของโลเกชั่นในเรื่อง ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่เคยเห็น ผมค่อนข้างจะประทับใจป่าในภาคใต้ค่อนข้างมากมีมุมที่สวยงาม โดยเฉพาะถ้ำขมิ้นที่ยังไม่เคยมีใครเข้าไปถ่ายทำมาก่อน เค้าเปิดให้เข้าไปได้ไม่เกิน 2 กิโล แต่ตัวของถ้ำนี้มีความยาวข้ามภูเขานี่มากกว่า 10 กิโล ซึ่งภายในถ้ำก็จะมีหินงอกหินย้อยที่สวยงามแล้วก็น่าสนใจมาก แต่ละโลเกชั่นที่เราเลือกใช้นี้ เราจะดูความสมจริงของเรื่องราวเป็นหลัก แม้บางครั้งอาจจะมีอุปสรรคทางด้านการลำเลียงเครื่องมือเครื่องใช้ในการถ่ายทำ หรือในเรื่องฤดูกาลที่แตกต่างกันไปในแต่ละภาคอยู่บ้าง แต่ที่สุดแล้วเราก็อาศัยการปรับบทกันเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งโลเกชั่นต่าง ๆ ที่เลือกใช้ก็สามารถครอบคลุมเรื่องราวได้ทั้งหมดเป็นอย่างดี"
นอกจากนี้ อีกส่วนหนึ่งที่ถือว่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเนื้อเรื่องเลยก็คือ "การทำเทคนิคพิเศษด้านภาพ หรือเทคนิคซีจีไอ" (Computer Generated Imagery) โดยหนังเรื่องนี้ได้ใช้ทีมผู้เชี่ยวชาญจาก "บริษัทสวีท อายส์" ซึ่งเป็นบริษัทในเครือดิจิตอล เมจิก (D.M. – Digital Magic Effect) มือหนึ่งในการทำเอฟเฟ็กต์ด้านภาพของงานโฆษณามากมาย อาทิเช่น พรานทะเล (หมูกับวัวเต้นกันอยู่ในไร่), โออิชิ (หยดชา), อิซูซุ (พายุน้ำมัน), ไทยประกันชีวิต (พ่ออยากมีเวลาให้ลูก), กรุงเทพประกันภัย (พายุทอร์นาโด), เรด เลเบิล (หิมะตกกรุงเทพ), กระดาษดับเบิ้ลเอ (เครื่องซีร็อกซ์เป็นหุ่นยนต์) ฯลฯ
...ปิติพงศ์ เนตรแก้ว ซีจี ซูเปอร์ไวเซอร์เรื่อง "โบอา...งูยักษ์" ซึ่งจะเป็นผู้ที่ดูแลขั้นตอนการผลิตวิช่วลซีจีทั้งหมดของหนังเรื่องนี้ กล่าวถึงเบื้องหลังการทำงานอย่างละเอียดไว้ว่า
"คือเริ่มต้นจากผู้กำกับส่งบทมาให้อ่าน พออ่านแล้วก็พูดคุยกับทางทีมงานซึ่งต้องการทำคาแร็คเตอร์แบบเรียลิสติก ซึ่งมันเป็นโจทย์ที่น่าสนใจมากสำหรับงานคอมพิวเตอร์กราฟฟิค หลังจากนั้นผมก็ลองวิเคราะห์ความเป็นได้ว่า เราจะทำได้สำเร็จหรือเปล่า ก็จะมีการเทสต์ มีการทดลอง การออกแบบ รวมไปถึงว่ามีการศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ในการเคลื่อนไหว หรือปรับไดเร็คชั่นของงานซีจีกับภาพยนตร์ให้มันไปด้วยกันได้ จนไปถึงการสร้างโมเดลลิ่ง เท็คเจอร์ แอนิเมชั่นต่าง ๆ จนมาถึงจัดไลท์ติ้งให้เข้ากับแบ็คกราวด์ หลังจากนั้นก็จะเป็นกระบวนการต่าง ๆ จนถึงขั้น output ออกมาเป็นฟิล์มครับ"
"ทีมงานด้านซีจีของเราทั้งเรื่อง ตั้งแต่ทีมงานที่ไปออกกองถ่ายถึงแอนิเมเตอร์ทั้งหมดก็ร่วม 20 คนได้ คือ จริง ๆ ผมก็คล้าย ๆ กับอีกตำแหน่งหนึ่งก็คือ ซีจีไดเร็คเตอร์ด้วย คือเวลาที่ไปกองถ่าย บางฉากบางซีนคือผู้กำกับยกให้เลย คือให้กำกับเองเลย คือว่าผมสามารถจะมองภาพจากเฟรมเปล่า ๆ ว่าง ๆ คือนักแสดงเรื่องนี้จะต้องเล่นกับอะไรที่มันไม่มีตัวตนที่แท้จริง เพราะมันใช้คอมพิวเตอร์สร้าง เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเป็นอีกจินตนาการหนึ่งของผู้กำกับ คือเป็นความคิดให้ผู้กำกับได้ ฉะนั้นเราจะมองภาพอย่างเช่นแบ็คกราวด์เปล่า ๆ งูมันจะเข้าทางไหน จังหวะที่เท่าไรที่พระเอกต้องหันไปเจอ เจอแล้วจะต้องหลบยังไง ต้องมุดหลบ หรือจะคลาน หรือจะวิ่ง แอ็คติ้งของงูตัวนี้มันประมาณไหน มันกลัวสุดขีด หรือว่ามันแค่ขู่ อะไรต่าง ๆ เนี่ย คือเราต้องมีการดีไซน์ และต้องอ่านบทมาพอสมควรที่เราจะรู้ว่า จังหวะของงูที่จะปล่อยมานี้มันมีแอ็คชั่นยังไง"
"เราจะมี reference ศึกษาจากงูจริงว่า งูจริงเป็นยังไง เกล็ดของมันเป็นยังไง การเรียงตัวของเกล็ดซึ่งแต่ละสายพันธุ์ก็จะไม่เหมือนกัน แล้วก็การเคลื่อนไหวเป็นอย่างไร งูมันจะมีการหายใจ คือมันจะหายใจขึ้นลง รายละเอียดพวกนี้มันจะช่วยให้แอนิเมชั่นของเราสมบูรณ์ขึ้น แล้วก็จะมีส่วนประกอบอื่น ๆ มาช่วยเสริม เช่น มีหญ้ามีฝุ่นกระจายปลิวก็จะช่วยให้ดูดีขึ้น คือเรามีทีมงานไปดูงูจริงที่สถานเสาวภาก็มี หรือว่าการหาข้อมูลโดยการดูจากสารคดีต่าง ๆ หรือว่าจากหนังที่เคยมีการทำซีจีมาบ้างแล้ว ซึ่งเราก็ศึกษากันหมด ตั้งแต่โครงสร้างของกระดูก กล้ามเนื้อ ฟิกเกอร์ แล้วก็เท็คเจอร์ต่าง ๆ แต่ว่างูในหนังเรื่องนี้ มันจะมีลักษณะของเท็คเจอร์ที่ถูกเขียนขึ้นมาใหม่ ดีไซน์ขึ้นมาใหม่ จะมีการออกแบบเพื่อให้งูตัวนี้เป็นต้นแบบออริจินัล คือโอเค มันก็จะเป็นงูชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในโลก แต่ว่าด้วยลายของมัน เราอยากให้เป็นลายเดียว ฉะนั้นมันจึงถูกดีไซน์ให้ไม่เหมือนงูชนิดนี้ร้อยเปอร์เซนต์เต็ม มันจะมีเรื่องของการใส่งานดีไซน์เข้าไปด้วย"
"อุปสรรคหลัก ๆ คือเรื่องของแอนิเมชั่น แอนิเมชั่นเรื่องนี้ผมถือว่าเป็นเรื่องที่ยากกว่าการทำแอนิเมชั่นสัตว์ที่เป็น 4 ขาด้วยซ้ำ คือทุกอย่างเนี่ย ความสัมพันธ์ของการแอนิเมชั่นมันจะต้องสมูธ งูเนี่ยเวลามันจะเลื้อยทุกอย่างมันจะต้องมีที่มาที่ไป แล้วก็งูเรื่องนี้ค่อนข้างโชว์เยอะมาก แล้วเราต้องทำให้มันมีสมองมีความคิด ไม่ใช่เพียงแค่ก้อน ๆ หนึ่ง หรือท่อ ๆ หนึ่ง มันจะต้องมีความคิด มันจะต้องมีความฉลาด แล้วก็ต้องเข้าถึงอารมณ์ของหนังให้มันเชื่อมโยงกับอารมณ์ของนักแสดงได้ด้วย เมื่อนักแสดงรู้สึกหวาดกลัว แอ็คชั่นของงูจะเป็นยังไง นักแสดงรู้สึกว่ามีอะไรซักอย่างโผล่มา แอ็คชั่นของงูตัวนั้นมันจะเป็นยังไง ฉะนั้นแล้ว ตรงนี้มันจึงมีการคิดในด้านของการทำงานที่ค่อนข้างซับซ้อนและเยอะมากขึ้น"
"จำนวนช็อตซีจีในเรื่องนี่ค่อนข้างเยอะ น่าจะประมาณ 400-500 ช็อตได้ เปอร์เซนต์นี่เทียบค่อนข้างลำบากนะครับ แต่ผมคิดว่าถ้าเป็นระยะเวลาเต็ม ๆ ที่มีซีจีอยู่ก็น่าจะประมาณ 30-45 นาทีเลยครับ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะยากในการทำซีจีอยู่หลาย ๆ ฉากเหมือนกัน อย่างฉากงูรัดเรือแตก แอนิเมเตอร์ก็ต้องทำไดนามิคน้ำ เวลางูมันโผล่ขึ้นมาจากน้ำ น้ำมันจะต้องกระเพื่อม ๆ น้ำต้องหยดลงมา ซึ่งตรงนี้ เราก็จะต้องทำซีจีทั้งหมด ยกเว้นตอนน้ำกระจายเวลางูมันโผล่ขึ้นมา อันนั้นเราถ่ายน้ำมาแล้วเราก็เอามาแมทช์เข้าด้วยกัน ใช้น้ำถ่ายจริง แล้วก็งูซีจี มันก็ช่วยให้งานเร็วขึ้น คืออะไรถ่ายจริงได้ ก็ให้ทีมหนังถ่ายไว้"
"อีกซีนที่ยากที่สุดเลยก็คือซีนท้าย ๆ ของหนังที่เป็นฉากงูยักษ์รัดเฮลิค็อปเตอร์ ซีนนี้ยากมากเพราะมันจะต้องทำ ฮ. ขึ้นมาทั้งลำ คือเค้าจะถ่ายบลูสกรีนมาทั้งแบ็คกราวด์และทั้งพื้นเลย ทุกอย่างเราจะต้องมาทำซีจีทั้งหมด ความยากของมันคือต้องให้เนียนด้วย อย่างงูรัด ฮ. แล้วระเบิด ซึ่งมีส่วนประกอบเยอะมาก ทั้งฝุ่น ทั้งหญ้า ทั้งควัน แล้วก็ไฟที่สปาร์ค เวลา ฮ. มันระเบิดก็จะมีสะเก็ดไฟอะไรพวกนี้ เป็นส่วนประกอบที่เราต้องทำทั้งหมด เพื่อให้ดูแรงและสมจริงมากขึ้น หรืออย่างบางคัทเนี่ย เวลาถ่ายมา เค้าก็ใช้สลิงดึงหรือแขวนตัว ฮ. จริงไว้ มันก็จะมีก้านเครนโผล่เข้ามาด้วย เราก็ต้องลบมันออกไปให้หมด มันก็จะสมจริงกว่า ฉากนี้ถ้านับรวมขั้นตอนในการปั้นโมเดล ฮ. กับปั้นโมเดลงูก็ใช้เวลานานเป็นเดือน คือเราจะทำชิ้นส่วนทุกอย่างให้พร้อมหมด พอตัว ฮ.ครบ งูครบ แบ็คกราวด์มา แล้วก็ค่อยเอามารวมกันเข้าอีกทีหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นซีนไฮไลต์ที่ยากทีเดียวครับ"
"จริง ๆ ผมว่าการทำคอมพิวเตอร์กราฟฟิคในภาพยนตร์ถือเป็นศาสตร์สูงสุดละ เพราะว่าทุกอย่างทั้งเรื่องของระยะเวลา เรื่องของความสามารถ แล้วก็อีกอันก็คือการสร้างไอเดียใหม่ ๆ ที่มันเกิดขึ้น ส่วนงานโฆษณา การทำงานมันจะต้องการ reference ที่ชัดเจนลงไปเลย เพราะว่าลูกค้าจะเป็นคนตัดสิน และ approved ทุก ๆ อย่าง แต่ว่าด้านภาพยนตร์ เรามีผู้กำกับก็จริง แต่จริง ๆ แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันเหมือนกับว่า มันเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง คนที่ approved น่าจะเป็นผู้ชมมากกว่า ว่างานที่เราทำออกไปมันเพอร์เฟ็กต์ มันดีไม่ดี มีข้อบกพร่องยังไง ซึ่งเราก็ต้องคิดเผื่อละ นอกจากจะต้องคิดเผื่อให้ผู้กำกับแฮปปี้ ให้เจ้าของหนังแฮปปี้แล้ว เรายังต้องคิดเผื่อว่า เมื่อเราทำออกมาแล้ว มันจะสามารถสร้างความรู้สึกกับคนดูได้มั้ย หรือว่ากับผู้ชมได้ประมาณแค่ไหน แล้วก็เรื่องของการเล่าเรื่อง รวมถึงทุกอย่าง มันเป็นศาสตร์ที่ผมถือว่ามันค่อนข้างยากที่สุดสำหรับงานคอมพิวเตอร์กราฟฟิคนะครับ"
คาแร็คเตอร์ตัวละคร
นพพันธ์ บุญใหญ่ (รับบทเป็น คิน) - เด็กหนุ่มจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มีนิสัยเป็นผู้นำ สุขุม กล้าหาญ มีนิสัยเสียบ้างเรื่องผู้หญิง รักอิสระชอบท่องเที่ยว คินเกิดในครอบครัวนักบิน และได้รับความรู้เรื่องการบินและเครื่องยนต์จากพ่อมาทุกอย่างจนเข้าขั้นผู้เชี่ยวชาญ ทำให้เขาเป็นผู้นำในการผจญภัยในครั้งนี้
...อ้น - นพพันธ์ บุญใหญ่ เกิดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม (ปัจจุบันอายุ 26 ปี) จบการศึกษาด้าน Graphic Design และ Film Study จาก Southbank College, Westminster University ด้วยหน้าตาและบุคลิกที่เข้มข้นตรงกับคาแร็คเตอร์ในเรื่อง ทำให้เขาผ่านฉลุยในการคัดเลือกให้เข้ามาแสดงภาพยนตร์ไทยเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ปัจจุบัน อ้นยังทำหน้าที่เป็นพิธีกรในรายการ Orange Talk ทางยูบีซี อีกด้วย
ผลงานภาพยนตร์ : Sniper 3 (2547), Vampires 3 (2548), โบอา...งูยักษ์ (2549)
กีรติกร รัตน์กุลธร (รับบทเป็น แพร) - เด็กสาวจากครอบครัวที่ฐานะปานกลาง เธอเป็นเด็กเรียนเก่ง มีนิสัยทะเยอทะยาน ภายนอกเธอดูเป็นคนกล้าหาญ หากแต่เพื่อกลบความอ่อนแอจากภายในเท่านั้น แพรเป็นแฟนสาวของพนาที่หายสาบสูญไปในป่าลึก นั่นทำให้เธอและกลุ่มเพื่อนจำเป็นต้องออกตามหา และต้องเผชิญหน้ากับความสยองขวัญของงูยักษ์อย่างไม่คาดฝัน
...นิว - กีรติกร รัตน์กุลธร เกิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม (ปัจจุบันอายุ 25 ปี) เธอเป็นนักเรียนการแสดงของสมาคมผู้กำกับฯ และมีฝีมือที่ค่อนข้างเข้าตาโปรดิวเซอร์ของเรื่อง ทำให้เธอได้มาแสดงหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แค่เพียงเรื่องแรก เธอก็ต้องเจอกับการแสดงที่ยากและต้องใช้จินตนาการสูง เพราะเธอต้องเล่นกับซีจีแทบทั้งเรื่อง แต่เธอก็ทำได้เป็นอย่างดี
ผลงานภาพยนตร์ : โบอา...งูยักษ์ (2549), สวย...ซามูไร (2550)
สิทธา เลิศศรีมงคล (รับบทเป็น เสิด) - เด็กหนุ่มจากคณะนิเทศฯ เพื่อนสนิทอีกคนของโก้ เสิดเป็นคนอารมณ์ดี ออกจะกวน ๆ บ้างในบางอารมณ์ นิสัยคล้ายโก้ แต่ออกจะเป็นคนเจ้าหลักการและมีเหตุผลมากกว่าโก้ เพราะโก้จะค่อนข้างมีอารมณ์ศิลปินอ่อนไหวง่าย เสิดมักมีเหตุผลในการทำอะไรเสมอ เขาเป็นคนที่แคร์คนรอบข้างอย่างมากคนหนึ่ง ด้วยความที่เสิดมีความคิดความอ่านที่ละเอียดอ่อน ซึ่งทำให้บางครั้งสำหรับเสิดอาจดูเป็นผู้ใหญ่กว่าโก้ด้วยซ้ำทั้ง ๆ ที่ทั้งสองเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน เขาเป็นอีกคนที่ต้องเข้ามาพัวพันกับความน่าสยองในป่าอย่างไม่คาดคิด
...ใหม่ – สิทธา เลิศศรีมงคล เกิดเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม (ปัจจุบันอายุ 25 ปี) เข้าสู่วงการด้วยบทหนุ่มทะเล้นในเรื่อง "ชื่อชอบชวนหาเรื่อง" ก่อนที่จะข้ามมาแสดงมิวสิควิดีโอและเป็นพิธีกรอีกหลายรายการ กับหนังเรื่องล่าสุดนี้ เขาได้เคาะสนิมทางการแสดงด้วยการรับบทที่ค่อนข้างตรงกับคาแร็คเตอร์จริงที่เป็นคนอารมณ์ดี ขี้เล่น และออกจะกวนประสาทอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องเพิ่มดีกรีทางการแสดงด้วยบทที่บีบคั้นทางอารมณ์ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความหวาดหวั่นท่ามกลางป่าลึกที่แทบหาทางออกไม่ได้
ผลงานภาพยนตร์ : ชื่อชอบชวนหาเรื่อง (2546), โบอา...งูยักษ์ (2549), สวย...ซามูไร (2550)
พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์ (รับบทเป็น ณัฐชา) - เจ้าหน้าที่ป่าไม้หญิงของอุทยานแห่งชาติ หัวหน้าทีมค้นหา เป็นคนมีเหตุผลและมีหลักการ เป็นคนทำงานรอบคอบเสมอ แต่ภายนอกเธอออกจะดูเป็นคนที่มีบุคลิกเงียบขรึม บางครั้งจึงอาจจะดูไร้อารมณ์ไปสักหน่อย เธอต้องเข้ามาช่วยเหลือและผจญภัยกับงูยักษ์ไปพร้อม ๆ กับหนุ่มสาวเหล่านี้เนื่องจากหน้าที่ของเธอเป็นหลัก
...พิม - พิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์ ถือเป็นนักแสดงรุ่นพี่และมีประสบการณ์ทางด้านการแสดงมากที่สุดในกลุ่ม ในเรื่องนี้เธอต้องพลิกบทบาทมาแสดงในคาแร็คเตอร์ของสาวห้าว ๆ ลุย ๆ เป็นครั้งแรก แต่ฝีมือระดับเธอ เรื่องแค่นี้...เธอเอาอยู่
ผลงานภาพยนตร์ : ขุนแผน (2545), คืนบาป พรหมพิราม (2546), ฟอร์มาลินแมน รักเธอเท่าฟ้า (2547), โบอา...งูยักษ์ (2549), โคลิค เด็กเห็นผี (2549)
ภูพาน คัญทัพ (รับบทเป็น โก้) - เด็กหนุ่มคณะนิเทศฯ เพื่อนต่างมหาวิทยาลัย โก้เป็นคนอารมณ์ดี รักศิลปะและการท่องเที่ยวเหมือนพนา เขาเป็นเพื่อนกับพนาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แม้ปัจจุบันทั้งคู่จะเรียนต่างสถาบัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความสนิทสนมของทั้งสองลดลง และเมื่อทราบถึงการหายตัวไปของเพื่อนรัก โก้ก็ไม่รีรอที่จะออกค้นหาด้วยตัวเอง ก่อนที่จะพบกับความสยดสยองในป่านั้น
...บอมบ์ - ภูพาน คัญทัพ เกิดเมื่อวันที่ 28 กันยายน (ปัจจุบันอายุ 26 ปี) จบปริญญาตรี คณะมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ โปรแกรมวิชาดนตรีสากล สถาบันราชภัฎพระนคร เขาเคยผ่านงานแสดงทั้งภาพยนตร์และละครมาบ้างแล้ว แต่กับภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาต้องใช้ความสามารถทางการแสดงมากขึ้น เพราะนอกจากจะต้องเล่นกับซีจีแทบทั้งเรื่องแล้ว เขาก็ยังมีฉากที่ต้องถ่ายทอดอารมณ์ในทางดราม่าเป็นพิเศษด้วย
ผลงานภาพยนตร์ : อมนุษย์ (2547), โบอา...งูยักษ์ (2549), สวย...ซามูไร (2550)
ต้องรัก อัศวรัตน์ (รับบทเป็น สีดา) - เด็กสาวจากคณะวิศวะฯ เธอเป็นเพื่อนสนิทของแพร สีดาเป็นเด็กใส ๆ มองโลกในแง่ดี มีนิสัยหลายอย่างค่อนข้างคล้ายกับโก้ซึ่งเป็นแฟนที่คบหาดูใจกันอยู่ แต่ด้วยความที่สีดาเป็นผู้หญิง เธอจึงมีนิสัยขี้งอนเพิ่มเข้ามา หลายครั้งที่สีดาทำให้โก้รู้สึกรำคาญกับอาการขี้งอนอย่างไร้เหตุผลของเธอ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งคู่มีอาการหงุดหงิดไม่ค่อยลงรอยกันบ่อยครั้ง แต่ทั้งคู่ก็ยังต้องร่วมผจญภัยและต่อสู้กับงูยักษ์ในครั้งนี้ด้วยกันจนนาทีสุดท้าย
...ต้องรัก อัศวรัตน์ เกิดเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม (ปัจจุบันอายุ 24 ปี) เริ่มแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในเรื่อง "ตุ๊กแกผี" อย่างไม่โดดเด่นมากนัก ก่อนที่จะมารับงานแสดงในเรื่องนี้ด้วยบทบาทที่เข้มข้นมากขึ้นทั้งด้านแอ็คชั่นและดราม่า รวมถึงต้องใช้จินตนาการอย่างสูงในการเล่นกับซีจี ที่เธอบอกว่ายากพอสมควรเลยทีเดียว
ผลงานภาพยนตร์ : ตุ๊กแกผี (2547), โบอา...งูยักษ์ (2549), สวย...ซามูไร (2550)
บันทึกผู้กำกับ : ชนินทร เมืองสุวรรณ
...ก่อนอื่นผมต้องขอบคุณพี่มานพที่ให้โอกาสและไว้วางไจให้ผมได้มากำกับเรื่องนี้ ถึงแม้ผมจะผ่านงานเบื้องหลังมานาน แต่พอเริ่มกำกับหนังเรื่องแรก ก็ถือว่านับหนึ่งใหม่เหมือนผู้กำกับน้องใหม่นะครับ เด๋อ ๆ ด๋า ๆ เหมือนกัน โชคดีที่ได้ทีมงานที่เก่งและอดทนช่วยเหลือผมไว้มาก จนผมสามารถลุยงานจนถึงเสร็จ ต้องขอบคุณทีมงานทุกคนด้วยนะครับ
...หนังเรื่อง "โบอา งูยักษ์" เป็นหนังที่มีซีจีเยอะมากประมาณ 500 ช็อตได้ มีทั้งสลิง ทั้งซีจี ยังดีที่ไม่มีสัตว์และเด็ก...ไม่งั้นแย่แน่
...หนังเรื่องนี้สนุกและท้าทายตรงที่จะทำยังไงให้ลบความรู้สึกที่ไม่ดีต่อซีจีหนังไทยของคนดูให้ได้ไม่มากก็น้อย ซึ่งตอนผมเป็นคนดู ผมก็ยังร้องยี้เหมือนกัน
...จากที่เคยด่างานของคนอื่นไว้ คราวนี้อาจจะต้องโดนเข้ากับตัวเองบ้าง...ก็ได้
...หนังเริ่มเปิดกล้องเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2547 และปิดกล้องประมาณกลางเดือนกรกฏาคม 2548 ใช้เวลาถ่ายทำยาวนานถึง 8 เดือนกว่า ๆ ก็มีหยุดพักกองบ้างเป็นช่วง ๆ จนตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจวิธีการทำงานหนังแนวนี้ขึ้นมาพอสมควร โชคดีได้บริษัทสวีท อายส์ ที่มีฝีมือในการทำซีจีจากวงการโฆษณามาดูแลในส่วนนี้ คอยให้คำปรึกษาและอยู่ดูในช่วงการถ่ายทำตลอด
...ส่วนด้านบทภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นเขียนโดยพี่มานพ อุดมเดช (โปรดิวเซอร์เรื่องนี้) กับพี่ชลัท ศรีวรรณา (ผู้กำกับ "แรงเป็นไฟ ละลายแค่เธอ") ซึ่งเป็นบทที่อ่านแล้วสนุกตื่นเต้น ถ้าผู้ชมชมแล้วสนุกก็ต้องยกความดีส่วนหนึ่งให้กับบทภาพยนตร์ด้วยครับ
...ผมโชคดี นอกจากได้ทีมงานที่ดี ยังได้ทีมทำสลิงที่ดี ทีมทำซีจีที่ดี ค่ายหนังที่ดี ก็อยู่ที่ผู้ชมทุกท่านล่ะครับ เมื่อได้ดูแล้วจะสนุกอย่างที่ผมต้องการนำเสนอหรือเปล่า
...ขอบคุณมากครับ
โบอา งูยักษ์ : โอ้ละหนอ มาย ไจแอ้นท์ สเนค |
เขียนโดย Obelisk ออกจากรู ไปดูงู | |
อังคาร, 02 พฤษภาคม 2006 ประโยคที่ได้ยินใครบางคน จำคำพูดใครอีกคน มาพูดไว้เสมอว่า รักหนังไทย ต้องไปดูหนังไทย ฉันว่าเราประกาศยกเลิกประโยคอมตะนั้นกันเถิดหนา เพราะถ้าขืนหลับหูหลับตา ไปดูหนังไทยทุกเรื่อง ด้วยความรักที่จะรักษ์หนังไทย คนไปดูคงได้อกหักซากซ้ำช้ำหนองนองเลือดเรื้อรังเป็นแน่ ส่วนใครอีกหลายคนที่สักแต่ว่า ชีวิตนี้อยากทำหนัง ประเภทมีเรื่องอยากจะเล่าให้ชาวบ้านฟัง ประมาณว่าขอสักครั้งในชีวิตได้เครดิตเป็นคนทำหนังบ้าง พินิจใคร่ครวญอีกสักสอง-สามชาติเถิด ลองเพ่งกระแสจิตให้เห็นภาพคนดูหัวเราะแห้ง ๆ เค้นความขื่นขมที่หนังคุณทำกระอักอก หนังคุณได้ให้อะไรกับคนดูบ้างไหม แค่ความบันเทิงที่จัดว่าเป็นผิวเปลือกบาง ๆ ของศาสตร์ภาพยนตร์ คุณทำให้มันเกิดขึ้นได้ไหม "โบอา งูยักษ์" หนังเตรียมแป้กเรื่องล่าสุดของค่ายสห โชคดีที่เข้าโรงช้าไปนิดหน่อย ทำให้การใช้ความอดทนในโรงหนังลดลงไปหลายนาที ก็ยังดีแฮะ หนุ่มคนหนึ่งหลงติดอยู่ในป่าลึก หาทางช่วยเหลือชีวิตตัวเอง ด้วยการอุตส่าห์พยายามโทรศัพท์มาบ้าน (สัญญาณชัดเชียวพี่ อยู่ในป่าอ่ะนะ) อ่ะดันซวย ยายที่อยู่บ้านดันกะลังเพลินกับการชม "ตุ๊กแกผี" และการฟังเพลงจาก MP3 ไม่ได้ยินเสียงกริ๊งของโทรศัพท์ พี่แกเลยโทรไปหาเพื่อน เจ้ากรรมเพื่อนรักหน้าหม้อดันบอกว่า "เดี๋ยวค่อยโทรมาใหม่นะ" ทีนี้ ผองเพื่อนฝูงและแฟนฉัน จึงรวมคณะกันออกตามหา ด้วยวิธีการไฮเทคสุด ๆ น้องบอลลูน นั่นเอง คือทำนองว่า ถ้าไม่ขึ้นบอลลูนนะ เดี๋ยวคนทำซีจีจะตกงานซะก่อน เลยขึ้นบอลลูนจากกรุงเทพฯ ลอยข้ามตึกระฟ้า ลอยข้ามสะพานพระรามแปด (เป็นโลเกชั่นที่ยังฮิตอยู่ รองมาจากบีทีเอส และรฟม.) ลอยไปลิ่ว จนมาเกิดเหตุเพราะฝนฟ้าคะนอง ลมแรงทำให้บอลลูนลูกโต ๆ เสียหลักหึหึหึตกลงบนป่าที่ว่า ดั่งเรดาร์ชี้ชัดปานนั้น บังเอิญตกค้างต้นไม้ใหญ่ บังเอิญพระเอกลงมาคนแรกลงไปเจอะขวดน้ำที่บอกเป็นหลักฐานได้ว่า ไอ้เพื่อนเกลอมันต้องอยู่แถว ๆ นี้ ถ้ายังไม่ปักใจเชื่อพอ นี่ไง นี่เลย เจอะเป้สะพายอีก อ่ะเจอซากกองไฟเก่าอีก พระเจ้าช่วย หลักฐานพิสูจน์สันนิษฐานชัดเป้งขนาดสรุปผลได้นี้ บอลลูนมันช่างตกได้แม่นยำปานคนเขียนบทหลับ ยังไงยังงั้น แถมเป้อันรูดซิปมิดชิดปิดปากกระเป๋าเรียบร้อย ครั้นเปิดมา ตลกโผล่ เอ้ยมีงูซีจีโผล่มา โยนทิ้งแทบไม่ทัน กลัวกลัวกลัว และกลัวจัง 5 ชีวิตที่เข้าป่าตามหา 1 ชีวิตนั้นก็ช่างชาญฉลาดได้เหมาะเจาะกับการเข้าไปช่วยชีวิตคนอื่นซะจริงเชียว "ที่ไหนมีน้ำ ที่นั่นมีลำธาร" อ่ะนะฉลาดมากคุณ มีน้ำแล้วจะเป็นสนามบินไปได้อย่างไร แถมโทนเสียงที่ออกมาจากการตะโกนแหกปากของนายใหม่ (สิทธา) แสนน่ารำคาญพิลึก ทั้งหมดเข้าไปหลบฝนในถ้ำ พบว่ามีภาพผนังโบราณบอกเล่าตำนานบางอย่าง เทวรูปเจ้าแม่งูเก็งกอง ที่ทำท่าว่าจะมีอะไร ๆ เป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นมาบ้าง แต่ก็เปล่า ตัวละครพูด แล้วหนังก็ลืมมันทิ้งไว้ในถ้ำ จู่ ๆ งูยักษ์ก็โผล่มาไม่ให้เสียเวลารอลุ้น ทุกคนวิ่งหนีเอาตัวรอด (มาได้ยังไงหว่า?) ฝ่ายพระเอกลื่นไถลตกลงไปใต้ถ้ำ ตื่นมาพบว่ารอบตัวเป็นซากกระดูกมนุษย์เต็มไปหมด (งูน่าจะกินแล้วกระดูกติดคอเลยขย้อนกระดูก กะโหลกออกมา) อารามตกใจคว้าได้วัตถุบางอย่างแอ่น แอ๊น นั่นคือ นาฬิกาของเจ้าเพื่อนเกลอนั่นเอง (อ้อ งูขย้อนนาฬิกาออกมาด้วย) การตามล่าของงูโผล่มาเป็นพัก ๆ ทุก 10 นาที น่าแปลกที่พวก 5 คนนี้เอาแต่วิ่งหนี จนสำเร็จ 1 ยก เสร็จแล้วก็เดินทางเอื่อยเฉื่อยกันต่อไปอย่างไร้ทิศทาง ไร้อุปกรณ์การเดินป่าอย่างแผนที่ หรือแม้กระทั่งเข็มทิศ โดยไม่มีใครสงสัยปริปากพูดถามเรื่องงูยักษ์เลย ราวกับว่าไม่เกิดอะไรขึ้น เออใช่มันไม่มีอะไรนิ มีแค่บลูสกรีน อ๊ะอ๊ะแต่เดี๋ยวงูโผล่มาอีก ก็วิ่งอีก พองูไล่ฉก เลื้อย ฟาด โชว์พาวได้ 2–3 ที งูก็ถอดใจกลับไปเอง อันเหยื่อรายแรกคือ น้องต้องรัก ก็น้องนักยมคนนั้นนั่นแหละ ปรากฏว่าเจ้าโบอามันแค่โดดงับให้ตายแล้วโยนทิ้งไว้ ให้ได้เห็น "หน้าอก" แอ่น ๆ แน่นิ่ง นาน ๆ อย่างเข้าใจ "หัวอก" คนดู ไอ้เราก็นึกว่างูมันหิวโซ เพื่อให้ผ่อนคลายจากบรรยากาศการไล่ล่าอันแสนระทึก ข้ามมาอีกฟาก มีแนวคอเมดี้มารอรับใช้ท่านอยู่ เมื่อ พงศธร-เจ้าของบอลลูนผู้มั่งคั่งผู้ฉลาดเหลือเกินจะมาตามเก็บซากบอลลูนที่ตกกลางป่าลึก ลักลอบเข้ามาพร้อมกับนักข่าว และลูกสมุนอย่าง สิทธิชนกับชูทิศ (ทำนองว่าตลกล้อเลียนบุคลิกขำมะ) แถมมาปล่อย "มุขควาย" แอนด์ "มุขบัดซบ" กันกลางป่า อย่างไม่หยุดหย่อน แถมพก "มุขกระเหรี่ยง" มาเข้าป่าอีกเฮ้ออออ และเพื่อให้รู้ว่าเจ้าของบอลลูนติดต่อทำธุรกิจกับชาวต่างชาติจริง ๆ ไม่ได้โกหกหรือเป็นแค่คำอวดอ้างจากปากของเขาเท่านั้น หนังก็เลยให้คุณพงศธรแสดงภูมิความรู้ด้วยการพูดไทยคำอังกฤษคำอย่างประโยค "Do you bring us there?" ซึ่งคุณก็ไม่รู้ใช่มั้ยคะว่าแปลว่าอะไร ไม่เป็นไรค่ะ ดู ๆ ไป เดี่ยวก็ชินเอง เพราะพี่แกจะโพล่งประโยคเก๋ ๆ สำเนียงเก๋า ๆ (ประมาณว่าจบมาจากแคมบริดจ์นั่นเลยเชียว) ออกมาเป็นระยะ ๆ ค่ะภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว และเพื่อให้รู้ว่า ชาวกระเหรี่ยงพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว และคุณไม่อาจดูถูกพวกเขาได้อีกต่อไป เมื่อพงศธรแสดงอารมณ์กร่างเกรี้ยวกราดตะโกนด่า มอเก ไกด์กระเหรี่ยงผู้นำทางว่า "Fuck You" หนังก็เลยให้กระเหรี่ยงนายนี้สวนกลับทันควันด้วยสำเนียงแคมบริดจ์พอ ๆ กันว่า "Fuck You Too" เป็นไงล่ะ ฮาครืนกันทั้งโรง บอกแล้วว่าอย่ามาดูถูกกัน เหอ ๆ ๆ การใช้วิธีหลบหนีจากการไล่ล่าของงูยักษ์ ก็ช่างดูปัญญาอ่อนเหลือเกิน แต่ช่างเหอะ ในเมื่องูก็ไม่ได้ชาญฉลาดไปกว่าคนปัญญาอ่อนพวกนั้น ทีมเจ้าหน้าที่ที่ติดตามเข้าทำการช่วยเหลือ อันนำทีมด้วยพิมพ์พรรณ ชลายนคุปต์ พบซากศพปริศนาเคลือบด้วยน้ำเมือกยืด ๆ พร้อมกับคำถามเดียวและตรงเป้าประมาณว่า "ตัวอะไรที่กินเข้าไปแล้วขย้อนออกมาได้" อ่ะมานเป็นงู แน่ ๆ ช่ายม้ายค้า ท่านผู้ชม หนังเล่าเรื่อง "น่าเบื่อ" ตัดสลับกับความ "น่าเบื่อกว่า" ได้อย่าง "น่าเบื่อจริง ๆ" งูไล่ล่าไปซักพักจนละอายระอาใจ จึงจบฉากหนึ่งด้วยการกระโดดรัดตัวเกาะกับต้นไม้พรึ่บบบ เล่นเอาคนดูขำ มันทำอะไรนี่
แถมให้ยายเฒ่าคนหนึ่งปรากฏตัว พร้อม ๆ กับคำเตือนว่า จะไม่มีใครรอดชีวิตกลับมา อยากจะใส่ความลึกลับ ป่าอาถรรพ์ อะไรประมาณนั้นค่ะ ตัดฉับเข้ามาในป่า สมาชิกเริ่มลดน้อยลง จนเหลือแค่ 3 คน ที่วิ่ง ๆ ออกมาจนเจอพื้นที่เปิดโล่ง เพื่อโชว์ตัวให้เฮลิคอปเตอร์มาช่วยชีวิต แต่แล้วนายใหม่ก็คิดขึ้นได้ว่า ทำของสำคัญตกหาย นั่นคือ ปืนที่ขโมยพ่อมา จำต้องกลับไปหาใหม่ นัยว่า กลัวพ่อกว่างูยักษ์ (เด็กดีใสซื่อบริสุทธิ์เจง ๆ ค่ะหนูเอ๊ย) จนต้องกลับไปเผชิญหน้ากับงูยักษ์อีกครั้ง และอย่างที่เดาไม่ยากมันจะรอดเหรอคะเด็กน้อย งูงับแล้วถุยพ่นส่งคืนให้นางเอก ให้ได้มีคราบเลือดติดตัวมาบ้าง ทั้งที่ศพมันเลือดออกปากกระจึ๋งนึงเนี่ยนะ พระเอกกับนางเอกหนีไปโผล่บนฉากบลูสกรีน อุ้ยโผล่วัดร้างต่างหาก พระเอกกล่าวว่า "ที่ไหนมีวัด มันต้องมีชุมชน" เออมีชุมชนแล้วไงพี่ งูมันจะกลัวหัวหดเหรอพี่ พระเอกขอใช้สิทธิ์ไม่ตอบคำถามนี้ ได้ค่ะได้ คุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ค่ะ และแล้วงูโผล่มาอีกจนได้ มีโชว์ลีลาล่าเหยื่อ ค่อย ๆ เลื้อยลอดมาใต้ถุน ก่อนโผล่หัวขึ้นมา และแทบไม่น่าเชื่อว่า ไม้กระดานแผ่นชำรุด ๆ บาง ๆ เก่า ๆ จะสามารถรับน้ำหนักงูตัวเป้งขนาดนั้นได้ พระเอกเราได้โชว์สมองที่มีอยู่ด้วยการหลอกล่อให้งูวิ่งตาม และแล้วจบลงด้วยการฆาตกรรมงูปากแหกเหอ ๆ ๆ ขอไว้อาลัยกับการจากไปครั้งนี้ด้วยเถิด สาธุ สุดท้าย เมื่อมีเฮลิคอปเตอร์บินมาช่วย ทิ้งบันไดลงมาให้ผู้รอดชีวิตเกาะไต่ขึ้นมา งู(อีกตัว?) ก็คงอยากรอดชีวิต เลยตวัดคว้า ฮ. มาทั้งลำ อ่ะหมุน ๆ รัด ๆ งูม้วนต้วนตัวเองกับ ฮ. ไถลเกลือกกลิ้งตกเหวไป นางเอกซึ่งอยู่ใน ฮ. ตกเหวไปพร้อมกับงู ทุกอย่างระเบิดพินาศ บึ้ม!!! ไม่เหลือ พระเอกวิ่งมาดูพร้อมด้วยการแสดงท่าแพทเทิร์นทั้งทรุดกาย ซบหน้าลงกับฝ่ามือ และครวญคราง ไม่ไม่นะ ทันใดนั้น เสียงนางเอกก็ดังขึ้น ช่วยด้วย ๆ จับภาพให้เห็นนางเอกห้อยต่องแต่งกับขอบหน้าผา ปรากฏว่า รอดมาได้ซะงั้น จากนั้น ก็ให้หนังมีนางเอกได้หวานกับพระเอกต่อ เอาซี้ มีให้มันครบทุกรสชาติ ด้วยขนาดไซส์ของงูอันมิอาจประมาณได้ ไม่แน่ใจว่ามันมีทั้งหมดกี่ตัวกันแน่ แถมมันเลื้อย เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ด้วยขนาดลำตัวแบบนั้น การเคลื่อนที่น่าจะช้ากว่าที่ซีจีคิดออก เหตุของอาการเกรี้ยวกราดจนต้องไล่ล่าของงู ยังไม่แน่ชัด หรืออาจจะเป็นเพราะการล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตของมัน หรือเป็นงูกินคน แต่เอ๊ะงูไม่ยักกะกินคน(เหรอ?) ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้พบซากกระดูกกองอยู่ในถ้ำ? หรือมันแบ่งแยกได้ว่า คนไหนฉันจะกิน คนไหนฉันต้องขย้อนทิ้ง หลังจากจบสิ้น(กันซะที)กับเรื่องการไล่ล่าที่ระทึก เราก็จะได้เห็นหมู่มวลดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานสีสัน ชูช่อสลอนของป่า นัยว่า ทุกคนออกมาเจอกับความสวยงามอีกครั้ง เป็นสัญลักษณ์ของความสุขและชัยชนะอ่ะนะ ช่างคิดจัง ดังนี้แล้ว "โบอา งูยักษ์" จึงเป็นหนังที่เต็มไปด้วยขุมโหว่มหาศาล ที่ไม่ใช่สาเหตุหลักใหญ่ เพียงเพราะซีจีเนียนไม่เนียน เมื่อมองย้อนกลับไปแค่เดือนกว่า ๆ ก็จะพบว่า "ไพรรีพินาศ" หนังแนวเดียวกันของอีกค่าย ที่คุณภาพค่อนไปทางเกือบเห่ย ยังมีมาตรฐานสูงกว่า "โบอา งูยักษ์" หลายขุมนรกนัก |
แสดงความคิดเห็น