..."ธนกร พงษ์สุวรรณ" เป็นหนึ่งในผู้กำกับหนังรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง เจ้าของผลงานอย่าง "FAKE โกหกทั้งเพ", "เอ็กซ์แมน แฟนพันธุ์เอ็กซ์"
...ก่อนที่จะได้ชม "โอปปาติก เกิดอมตะ" ผลงานที่หลายคนตั้งตารอคอยในวันที่ 23 ตุลาคมนี้ ลองมาดูกันว่า ธนกรมีผู้กำกับคนไหนเป็นแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลก่อร่างซ่อนตัวอยู่ในหนังของเขาบ้าง
1. เดวิด ลินช์ [David Lynch:The Elephant Man, Twin Peaks the series, Blue Velvet, Dune, Wild At Heart, Twin Peaks: Fire Walk With Me, Lost Highway, Mullholland Drive]
...เดวิด ลินช์ เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตผม ที่ทำให้ผมรู้ว่าผมจะต้องเป็นผู้กำกับหนังให้ได้ ผมรู้จัก เดวิด ลินช์ จากการแนะนำของพี่สาวผม ตอนนั้นผมอายุ 14 ปี ได้ดูซีรีส์ชุด Twin Peaks ทางช่อง 3 และต่อมาได้ดูหนังใหญ่เรื่องแรกของเขาอย่าง Eraserhead หนังพวกนี้ดูไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกครับในตอนนั้น ถึงตอนนี้บางอย่างก็ยังไม่เข้าใจทั้งหมด แต่มันสนุกครับ ยิ่งซีรีส์ Twin Peaks สนุกมาก มันสนุกตรงที่ได้ตีความและสะกดรอยหนัง อย่าง Lost Highway ผมก็ชอบมาก แต่หนังยุคหลังของเขา ผมก็ไม่ค่อยอินแล้วครับ นับว่า เดวิด ลินช์ เป็นผู้มีอิทธิพลต่อการเริ่มต้นในการเป็นนักดูหนังของผมจริง ๆ อันนี้ต้องขอบคุณพี่สาวผมครับ
2. อลัน ปาร์กเกอร์ [Alan Parker: Bugsy Malone, Fame, Midnight Express, Birdy, Angel Heart, Mississippi Burning, Angela’s Ashes]
...ถือว่าหนังของเขาทุกเรื่องในยุคแรก เป็นหนังที่เรากลับมาดูอีกครั้ง ก็ยังรู้สึกร่วมสมัยอยู่ ทั้งที่เป็นหนังในยุคเก่าอายุเกือบ 20 ปี ทำให้ผมคิดว่าหนังของเขาครบถ้วนมาก เพราะว่ามันได้เดินทางไปถึงจุดที่หนังต้องการจริง ๆ มันไม่เสแสร้ง และมันอยู่ได้เหนือกาลเวลา ผมว่าเขาจริงใจในการนำเสนอมาก เช่น Angel Heart, Birdy, Midnight Express ลองกลับไปดูหนังของเขากัน แล้วจะรู้ว่า หนังมันยังอยู่ได้ตลอดกาล อยากทำหนังอย่างนั้นได้บ้าง คือเนื้อหาดี ไม่เชย ครบถ้วนในทุกองค์ประกอบภาพยนตร์ ทุกวันนี้ถ้าหยิบ Angel Heart มาดูแล้วก็ยังรู้สึกได้ว่าตอนนี้ มิกกี้ รู้ค ยังหนุ่มอยู่ เมื่อหยิบหนังมาดู คือมันยังเป็นปัจจุบัน มันยังร่วมสมัย และที่พิเศษมาก ๆ ของหนังเขาคือ บรรยากาศ และโลกของหนังเรื่องนั้น ๆ เขาสร้างโลกให้หนังได้ ผมอยากจะบอกว่า Angel Heart มีอิทธิพลต่อพล็อตหนังหลายเรื่องของผม
3. เอ๋อตงเซิน [Derek Yee: That’s Life, My Darling (ปู้เหลี่ยวฉิง), Viva Erotica, Full Throttle, One Nite in Mongkok, Lost in Time, Protégé]
...เป็นคนที่ทำหนังดราม่าได้อย่างมีคลาสมาก เล่าเรื่องได้สุดยอด หนังอย่าง "ยึดถนนเก็บหัวใจไว้ให้เธอ" (Full Throttle) ที่หลิวเต๋อหัวและเหลียงหย่งฉีเล่นด้วยกัน 10 ปีผ่านไป หนังเรื่องนี้ก็ยังไม่เชย และดูดีมาก เป็นหนังดราม่าที่ดี แล้วหนังของเขามักจะเป็น แอนตี้ไคลแม็กซ์ตลอด เป็นหนังแบบดั้งเดิมที่หลอกล่อกับสถานการณ์ และตัวละครตลอดเวลา มันเป็นการผกผันกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อ ๆไปในเรื่องนั้น ๆ เป็นหนังจีนแบบดั้งเดิมที่ดูสนุก มีทั้งลุ้นและหลอกล่อ ให้ตัวละครไปเจอกับโศกนาฏกรรม และเขาเป็นคนที่เร้าอารมณ์คนดูได้เก่งมาก
4. ปีเตอร์ ชาน [Peter Ho-Sun Chan: He’s a Woman She’s a Man, Comrades: Almost A Love Story (เถียนมีมี่), Three: Going Home, Perhaps Love, Warlords]
...แค่ "เถียนมีมี่" เรื่องเดียวก็ยกหัวใจให้แล้ว ประเด็นหนังรักโรแมนติกเรื่องนี้ เป็นเรื่องรักของคนจีน ซึ่งในหนังก็จะมีจีนหลายภาษา ทั้งกวางตุ้งและแมนดาริน มีหลายสำเนียง ทั้งที่เป็นเชื้อชาติเดียวกัน มันมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม มันเป็นหนังรักที่พูดถึงสังคม และบอกกับเราว่า สภาพแวดล้อมมันอาจส่งผลต่อชีวิต ต่อความรู้สึก ต่อสถานการณ์และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เหล่านี้มันนำไปสู่การผกผันของความรักของคนคู่หนึ่ง เราจะเห็นว่า เขาเล่นกับสถานการณ์เดิม ๆ เช่น พระเอกก่อนจะมีอะไรกับนางเอกครั้งแรก ก็จะอยู่ในที่แคบ ๆ และต่อมาอีกหลายปีได้เจอกันอีกครั้ง ก็ยังเป็นช่องทางเดินแคบ ๆ ซึ่งเรารู้ได้เลยว่า ทั้งคู่รู้สึกอย่างไรต่อกันอยู่ โดยที่ไม่ต้องพูด แต่เขาแสดงให้เห็นด้วยการให้นางเอกกินอาหารใหญ่เลย กินไม่หยุด เพราะนางเอกกำลังเขินและกระอักกระอ่วนใจ มันล้นทะลักอยู่ข้างใน พอพูดออกมา ก็เป็นสิ่งที่พูดไปแล้ว จนพระเอกทักว่า "คุณบอกผมแล้วนะ เมื่อกี้นี้" มันเป็นการกำกับที่สุดยอดมาก ปีเตอร์ ชานเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดของความรู้สึกมาก
5. สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก [Steven Soderbergh: Sex, Lies and Videotape, Traffic, Erin Brockovich, Solaris, Out of Sight, Ocean's 11]
...ผมเริ่มชอบ โซเดอร์เบิร์ก จาก Out of Sight มันเป็นหนังที่มีเสน่ห์ และผลักดันคาแร็คเตอร์ให้โดดเด่น ดึงพลังดาราออกมาได้ และมีความเป็นป๊อบสูง ฉลาดในการเล่าเรื่อง นอกจากนี้ยังชอบเทสต์ที่มารวมกันเป็นงานของโซเดอร์เบิร์ก เช่น ดนตรีประกอบของ เดวิด โฮมส์ และการกำกับภาพโดยตัวเขาเองที่ทำในนามแฝงว่า ปีเตอร์ แอนดรูส์ ชอบภาพที่ดิบและจริง กับสกอร์ที่ให้ความรู้สึกค้นหาอะไรบางอย่าง ได้อย่างมีเสน่ห์และหาตัวจับได้ยาก รวมถึงการเล่าเรื่องหนัก ๆ แต่ถ่ายภาพได้อย่างมีเสน่ห์ เช่นใน Traffic, Solaris วิธีการเล่าเรื่องที่ไม่ง่ายในแบบที่คนเขาจะทำกัน เหมือนง่ายแต่แยบยลมาก เช่น Erin Brockovich, Ocean's 11, Ocean's 12 ซึ่งเป็นเรื่องง่าย ๆ บวกกับวิธีการเล่าเรื่องแบบทดลองหน่อย ๆ
6. โทนี สก็อตต์ [Tony Scott: Top Gun, True Romance, Crimson Tide, Enemy of the State, Spy Game, Man on Fire, Domino, Déjà vu]
...ชอบวิธีการเล่าเรื่อง ชอบ cutting ของเขา มันให้ความรู้สึกถึงการใช้เฟรมและอารมณ์ในแบบหนังผู้ชาย การเล่าเรื่องในซีน รวมถึงการดำเนินเรื่องในแบบหนังแอ็คชั่น แมน ๆ รวดเร็วกระชับหน่อย แม้ว่างานหนังเรื่องหลัง ๆ จะเร็วไปสักหน่อย ชอบที่มันจะมีความเป็น anti hero ในหนังของเขา เช่นใน Spy Game ที่สุด หรือการล่าหักเหลี่ยมเฉือนคมระหว่างผู้ชาย 2 วัย ซึ่งเล่าเรื่องในโลเกชั่นจำกัด แต่เป็นแอ็คชั่นที่มันมากใน Crimson Tide
7. ริดลีย์ สก็อตต์ [Ridley Scott: Thelma and Louise, Blade Runner, Alien, Gladiator, Hannibal, Black Hawk Down, Kingdom of Heaven, A Good Year]
...ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ อลังการ อารมณ์ในแบบผู้ชายรุ่นเก่า แมน ๆ เสียสละ เขาเป็นคนที่ทดลองอะไรใหม่ ๆ เสมอ เช่น Alien หรือ Blade Runner ในยุคก่อน เป็นคนสร้างงานใหม่ ๆ ของยุคสมัย อย่าง Gladiator หนังนักรบที่ไม่ได้แสวงหาการต่อสู้ ซึ่งเป็นแอนตี้ฮีโร่ที่ไม่อยากสู้รบ อยากอยู่อย่างสงบ ง่าย ๆ แค่นี้ก็ดูลูกผู้ชายแล้ว แต่ว่าถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องเป็น นอกจากนี้ในความเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่ง ก็ยังให้ความรู้สึกนุ่มนวลด้วย คือทั้งสง่างามและนุ่มนวล ใน Gladiator ผมชอบฉากที่พระเอกก่อนจะออกรบครั้งใหญ่ เขาจะเดินไปให้กำลังใจทหารทุกหน่วย โดยมีกษัตริย์เฝ้ามองอยู่ด้วยความรู้สึกอิจฉาลึก ๆ เขากำกับฉากง่าย ๆ แต่เน้นรายละเอียด หนังของเขามีความสง่างามแบบดั้งเดิมและสมอายุ
8. มาร์ติน สกอร์เซซี [Martin Scorsese: Raging Bull, Mean Streets, Taxi Driver, Goodfellas, Cape Fear, Casino, The Aviator, The Departed]
...ผมดูหนังเขาแล้ว ผมอยากจะเป็นสกอร์เซซีครับ เป็นคนที่ทำหนังยาวแล้วดูสนุก ไม่น่าเบื่อ เห็นความผกผัน เย้ยหยันในความเป็นมนุษย์ เขามองโลกอย่างเข้าใจแต่เลือกที่จะเล่าในมุมที่เป็นด้านมืด ถึงตัวละครจะเผชิญกับความผกผัน แต่เราก็รู้สึกอิ่มเอมกับการได้ดูตัวละครนั้นดำเนินไป เพราะโลกก็มีทั้งขึ้นและลง มันเป็นสัจธรรม เป็นการตั้งคำถามให้ชีวิต เวลาที่มันผกผัน ตกต่ำ มีขึ้น มีลง ชอบวิธีการเล่าเรื่องของเขาที่ในหนังหนึ่งเรื่อง ซึ่งมีจำนวนซีนเยอะมาก แต่เขาสามารถเล่าได้ครบในแต่ละซีน และในหลายซีนที่อยู่ในหนังเรื่องนั้นเป็นสไตล์เฉพาะตัวของเขา หนังซีนเยอะ ถ้าเล่าได้สนุกก็เก่งมาก เป็นหนังที่ชำแหละคาแร็คเตอร์ของคนได้ดี
9. อเล็กซองดร์ เอจา [Alexandre Aja: Haute Tension, The Hills Have Eyes]
...คืนแรกที่ได้ดูหนังของเอจา คือ "สับ สับ สับ" (Haute Tension) ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะดู เพราะว่าพรุ่งนี้จะออกกองถ่าย แต่ปรากฏว่าหนังสนุกมากและตรึงเราไว้จนจบ หนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญ ที่มีเนื้อเรื่องเดิม ๆ แต่วิธีเล่าเรื่องของเขาสุดยอด แม้จะเป็นเนื้อเรื่องที่ไม่ได้แปลกใหม่ แต่ก็ทำให้เราสนุกมาก ซึ่งถ้าเป็นผู้กำกับบางคนอาจจะทำออกมาแล้วน่าเบื่อ แต่เอจาสามารถใช้สูตรเดิมเล่าได้สนุกมาก การเล่าเรื่องครบถ้วนในแบบพาณิชย์ศิลป์ เป็นคนทำหนังสยองขวัญรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองมาก ๆ ทั้งที่อายุแค่ 28 เอง แต่วิชาด้านศาสตร์การเล่าเรื่องด้วยภาพของเขาแน่นมาก The Hill Have Eyes ก็โอเคมาก เอจา เป็นคนที่เล่าหนังได้ครบในแบบหนังสยองขวัญและยังมีภาคจิตวิเคราะห์ด้วย เขาคิดเยอะครับคนนี้ ผมว่าเป็นรุ่นใหม่ของสายสยองขวัญที่น่าจับตามองมาก
10. คิม คี ดุก [Kim Ki Duk: Address Unknown, Bad Guy, Spring Summer Autumn Winter and Spring…, Samaritan Girl, 3 Irons, The Bow]
...ผมค้นพบคิม คี ดุกจาก Bad Guy หน้าปกของแผ่นมันจะเหมือนหนังโป๊เรื่องหนึ่ง ตอนนั้นผมยังไม่รู้จัก คิม คี ดุก เลย แต่พอดูจบเราค้นพบว่า คนที่สามารถเล่าเรื่องที่เข้าถึงได้ยาก แต่ว่าเล่าเรื่องแล้วเราอินได้ง่ายและดูสนุก เล่าเรื่องที่ดูไม่เป็นเรื่องให้ดูรู้เรื่องได้เนี่ย ไม่ธรรมดา เหมือนเราไปติดอยู่ในโลกของเขา โลกในหนังของเขาซึ่งน่าจะมาจากความเชื่อบางอย่างในตัวเขา ต้องบอกเลยว่าผู้กำกับคนนี้ไม่ธรรมดา เป็นเทพเหนือเทพ (หัวเราะ) ผมดู Bad Guy ก่อน Spring, Summer… แล้วพบความพิเศษของเขาก่อนดู Spring … ผมว่าเขาเก่งมาก่อนหน้านั้นแล้ว จากดิบเถื่อน ถ่อย มาสู่ความงดงาม ความนิ่ง สงบ และแสดงให้เห็นถึงแก่นแท้ของชีวิต เหล่านี้มันมีมาตั้งแต่ Bad Guy แล้วครับ สำหรับผม Bad Guy เป็นหนังรักโรแมนติกที่บริสุทธิ์มากครับ และผมเชื่อว่า นับแต่ 3 Irons เป็นต้นไป ไม่ว่าเขาจะเล่าเรื่องอะไร มันก็ดูสนุกทั้งนั้นครับ
11. หว่องกาไว [Wong Kar Wai: Days of Being Wild, Chungking Express, In the Mood for Love, 2046]
...หนังเรื่องแรกที่ได้ดูคือ Fallen Angel (นักฆ่าตาชั้นเดียว) ที่พี่เปิ้ล (ศิวาภรณ์ พงษ์สุวรรณ) กับพี่ป๊อบ (มโนธรรม เทียมเทียบรัตน์-นักวิจารณ์คนโปรดของเว็บเด็กหนัง) แนะนำให้ดู ผมดูหนังเรื่องนี้อยู่ 10 รอบ เมื่อ10 ปีที่แล้ว ดูก็ไม่รู้เรื่อง แต่ติดใจอะไรก็ไม่รู้ ตอนนั้นหว่องกาไว ยังไม่เป็นเทพป๊อบขนาดนี้ หลังจากเรื่องนั้นก็ได้มาดู Chungking Express ซึ่งผมไปซื้อมาจากร้านแถวสีลม นานมากแล้ว ผมบังเอิญเห็นมันอยู่ในหมวดหนังโป๊ เมื่อก่อนก็เคยมีคนแนะนำให้ดู แต่ก็ไม่ได้ดูสักที ทันทีที่ได้ดู ก็เหมือนอย่างที่ทุกคนชอบมัน คือมันมีความโหยหา เป็นหนังรักที่โหยหา เศร้าหมอง อกหัก แต่จบแบบสว่างไสว อิ่มเอม และชวนให้มีความหวังที่จะดำเนินชีวิตต่อไป การเล่าเรื่องของตัวละครที่ใช้ชีวิตในเมืองหลวงได้อย่างไม่ยัดเยียด เรื่องราวโรแมนติกที่มาจากการใส่ใจในรายละเอียดของผู้กำกับ สไตล์การเล่าเรื่องที่คิดเรื่องมาจากตัวละครเป็นอันดับแรก ตรงนี้แหละครับ ที่ผมได้อิทธิพลจากเขามา ส่วนหนังหว่องกาไว รุ่นหลังๆผมเบื่อแล้วครับ
12. ไมเคิล มานน์ [Michael Mann: The Last of the Mohigans, Heat, Ali, The Insider, Collateral, Miami Vice]
...เป็นสุดยอดของสุดยอดของความสมจริง ผมชอบสไตล์การเล่าเรื่องที่ดิบและเป็นลูกผู้ชาย มีความเป็นคนที่สัมผัสได้จริงๆ อีกทั้งยังมีความเงียบเหงา เป็นเรื่องราวของคนเล็กในเมืองใหญ่ เป็นหนังที่เล่าถึงตัวละครที่เป็นเศษเสี้ยวในเมืองหลวง ผมเคยดูเบื้องหลังการทำงานที่เขาจะพาตัวละครไปอีกจุดหนึ่งของการแสดง เขาสามารถพาตัวแสดงไปยังอีกจุดหนึ่งได้ ขับพลังของนักแสดงออกมาได้ มีสไตล์ภาพและการเล่าเรื่องที่ดิบ สมจริง สิ่งที่โดดเด่น ในหนังเขามาจากการสร้างสถานการณ์และคาแร็คเตอร์ สร้างอารมณ์ของตัวละครที่ตกอยู่ในสถานการณ์ชวนระทึกได้ดี เหมือนหนังแอ็กชั่นหลายๆเรื่องของเขา เราจะเห็นได้ว่าฉากที่เขาทำมันเป็นฉากแอ็คชั่นที่ยิ่งใหญ่ แต่ดูสมจริงพร้อมกันไปด้วย เช่น Heat ฉากยิงกันหลังปล้นธนาคาร อีกทั้งยังมีความใส่ใจในมุมที่อ่อนโยนของผู้ชาย คาแร็คเตอร์ที่มีความขัดแย้งในแง่ของจุดยืนอย่าง อัล ปาชิโนกับเดอนีโร แต่ทั้งคู่ก็มีปัญหาภายในเช่นเดียวกัน คือ มีความโดดเดี่ยวด้วยกันทั้งคู่
...ไมเคิล มานน์ สามารถสร้างบรรยากาศตึงเครียด สมจริง และเล่าเรื่องในแบบแอ็คชั่น โดยไม่มีฉากแอ็คชั่นเลย เช่น The Insider แค่ผู้ชายสองคนโทรศัพท์คุยกันก็ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในฉากแอ็คชั่นแล้ว เพราะเป็นการปะทะกันด้วยอารมณ์แบบผู้ชาย ๆ และที่สังเกตดูคือ เขาให้ตัวละครแสดงและให้กล้องแฮนด์เฮลด์ ตาม เราจะได้เห็นถึงอารมณ์การแสดงที่ห้ำหั่นกันถึงพริกถึงขิง คนนี้ยาวหน่อยครับ เพราะชอบมาก หรือใน Collateral เราเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของสังคมเมือง ตัวละครธรรมดาในสังคมที่ถูกบีบคั้นอย่าง เจมี ฟ็อกซ์ ซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่เจอนักฆ่า ซึ่งเขาทำให้เราคนดูเชื่อได้ จากนั้นหนังก็พาไปสู่โลกยามค่ำคืนของแอลเอ อันชวนให้เห็นถึง ความเปลี่ยวเหงา และความหลากหลายทางอารมณ์
13. อังเดร ทาร์คอฟสกี้ [Andrei Tarkovsky: Andrei Rublev, Solaris, Mirror, Stalker, Sacrifice]
...กว่าจะดูหนังแต่ละเรื่องของเขาจบ จะต้องดูถึง 5 ครั้งกว่าจะผ่านยี่สิบนาทีแรกไปได้ ซึ่งทรมานมาก แต่หลังจากนั้นก็ยังทรมานอยู่ แต่เรากลับมีความสุข และเรากลับชอบอะไรบางอย่าง ซึ่งเราดูแล้วก็ไม่เข้าใจทั้งหมด แต่อะไรไม่รู้ฝังใจเราอยู่ ซึ่งอย่างแรกน่าจะหมายถึงภาพ หรือ visual ที่ถูกถ่ายทอดออกมา วิช่วลที่ไม่ได้หมายถึงการถ่าย แต่หมายถึงการมองเห็นทุกอย่างของผู้กำกับ อันได้แก่ ตัวแสดง, การเล่าเรื่อง การพาตัวละครไปพบกับเรื่องยังจุด ๆ หนึ่งในหนัง บวกกับการถ่ายภาพซึ่งชวนหลงใหล จนเกิดเป็นคำถามว่า มันอาร์ตแบบที่หนังสมัยนี้ไม่มีวันถ่ายได้ จนผมสงสัยว่า คนสมัยนี้คงไม่ลึกซึ้งพอที่จะถ่ายอะไรแบบนี้ได้อีกแล้ว เพราะมันห่างไกลจากการทำหนังแบบดั้งเดิมมามาก คือ การเก็บเกี่ยวอารมณ์นักแสดง และการถ่ายภาพที่สอดคล้อง รวมถึงศิลปกรรมอะไรต่าง ๆ หนังของเขามันเป็นศิลปะอย่างแท้จริง
14. เดวิด ฟินเชอร์ [David Fincher: Se7en, Fight Club, The Game, Zodiac]
...เป็นรุ่นใหม่ของหนังตระกูลผู้ชาย ที่เล่นกับด้านมืดของคน เป็นความลงตัวของการตลาดและพาณิชย์ศิลป์ได้อย่างดี ทั้งสไตล์การเล่าเรื่องและวิธีการกำกับ ผมสังเกตว่าหนังฟินเชอร์ มีความคล้ายคลึงกับหนังของปาร์กเกอร์โดยบังเอิญ ซึ่ง อลัน ปาร์กเกอร์ ผมก็ชอบเหมือนกัน ผมว่า Se7en กับ Angel Heart ก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่ และ Fight Club กับ Birdy ก็มีความคล้ายกันมาก ทั้งในแง่ของการถ่ายทอดในตัวเรื่องและเฟรมภาพ ผมคิดเอาเองว่าเขาคงได้รับอิทธิพลมาจากปาร์กเกอร์ และหนังของฟินเชอร์ดิบเถื่อน แต่เรายังรู้สึกว่า ป๊อบ และสัมผัสได้ไม่ยาก ที่สำคัญ หนังเขาดูสนุกมาก เช่น Fight Club, Se7en, The Game เขาให้รายละเอียดกับการถ่ายทำและใช้เฟรมในการเล่าเรื่องได้ดี และผมก็ชอบการหักมุมในหนังของเขาครับ
15. คริสโตเฟอร์ โนแลน [Christopher Nolan: Following, Memento,Insomnia, Batman Begins, The Prestige]
...ความกลัวเป็นจุดเริ่มต้นในหนังทุกเรื่องของโนแลน ความกลัวจะผลักดันให้ตัวเอกในหนังของเขาต่อสู้และค้นหา ตัวละครพยายามที่จะเอาชนะความกลัวที่มีอยู่ในจิตใจ ตัวละครของเขาเหมือนความมืดที่พยายามค้นหาแสงสว่าง เช่น Batman Begins, Insomnia เรื่องราวในหนังของเขาเริ่มต้นจากตัวละครหลัก หนังของเขาเป็นหนังที่จะทำให้เราอยากกลับไปดูซ้ำ เพราะว่ารายละเอียดที่เขาซ่อนไว้ในหนังมันเยอะมาก เป็นคนที่ทำการบ้านดีมาก สุดยอด เล่าเรื่องราวที่มีอยู่มากมายในหนังได้ครบ อีกทั้งยังสามารถเป็นคนที่มาทำหนังในฮอลลีวู้ดได้โดยที่ยังคงความเป็นตัวตนของตัวเองอยู่
...โนแลนเขียนบทเองเกือบทุกเรื่อง สถานการณ์ในซีนที่เขาสร้างขึ้นมันจะไขว้กัน และโยงถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในฉากถัดๆไป ทำให้คนดูต้องทำการบ้านกับหนังเขา และอยากจะกลับมาดูหนังเขาซ้ำอีกครั้ง เมื่อนึกถึงดีเทลที่ซ่อนอยู่ในหนังซึ่งเล่ามาก่อนหน้านั้นแล้ว เช่น ฉากมายากลนกตายแล้วเด็กร้องไห้ในหนังเรื่อง The Prestige
แสดงความคิดเห็น