Home » » 7 ประจัญบาน 2

7 ประจัญบาน 2

 


  • Release Date: 28 เมษายน 2548
  • Director: เฉลิม วงค์พิมพ์
  • Screenwriter: ก้องเกียรติ โขมศิริ, เฉลิม วงค์พิมพ์
  • Starring: พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง

คำโปรย : 7 เลือดบ้ากลับมารับใช้ชาติ

เรื่องราวเริ่มขึ้นในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่2 เมื่อกองทัพญี่ปุ่นแพร่ขยายอำนาจและอิทธิพลไปทั่วเอเชียอาคเนย์ ทำให้ทางการไทยมอบหมายงานชิ้นสำคัญผ่านมายังผู้กององอาจ(ประกาศิต โบสุวรรณ)ให้เหล่า 7ประจัญบานปฏิบัติภารกิจลับ สำคัญระดับสุดยอดของประเทศ ตรวจสอบพฤติกรรมอันน่าสงสัยของ สุริยะ ( Sano Hiro ) ที่คาดว่าอาจจะเป็นสายลับของทางการญี่ปุ่นที่มาในคราบของนักธุรกิจที่เดินทางเข้ามาในเมืองไทย แต่กลับกลายเป็นว่าภารกิจดังกล่าวหาได้สำเร็จลุล่วงง่ายดายอย่างที่คิดไม่ เมื่อผู้นำของ 7ประจัญบานอย่างจ่าดับ จำเปาะกลับพลาดพลั้งทำให้ผู้พันทีเคดะ พ่อของสุริยะเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุทำให้เหล่า 7ประจัญบานกลายเป็นบุคคลต้องห้ามที่นายพลนากามูระผู้นำทัพของญี่ปุ่นโกรธแค้นและยื่นคำขาดให้ทางการไทยส่งตัวจ่าดับและพรรคพวกทั้ง 7 มาสำเร็จโทษประหารชีวิต เป็นเหตุให้ประจัญบานทั้ง 7 ต้องรับมือกับทั้งทางการไทย และเหล่าทหารญี่ปุ่น รวมทั้งกลุ่มมือสังหารที่ถูกส่งตรงมาจากดินแดนอาทิตย์อุทัยซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของ 7 เซียนซามูไรจนต้องระหกระเหินไปร่วมกับกลุ่มพี่น้องไทยจีนที่ร่วมกันต่อต้านญี่ปุ่นซึ่งมีหน้าฉากคือคณะนักแสดงงิ้วที่มีชื่อเสียงของเตี่ยตังกวย เกิดเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งใหม่ของ 7 ประจัญบานที่ครั้งนี้ต้องทาหน้าขาวแต่งชุดงิ้วรำพลองตะลุยกองทัพญี่ปุ่น เหินขึ้นฟ้าเผชิญหน้ากับกองบินกามิกาเซ่ของญี่ปุ่น ภายใต้ฉากไฮไลท์สุดอลังการกับการเนรมิตรสะพานข้ามแม่น้ำแควขึ้นมาอีกครั้ง

กำหนดการเข้าฉาย : 28 เมษายน พ.ศ.2548
อำนวยการสร้าง : สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
ควบคุมงานสร้าง : ปรัชญา ปิ่นแก้วและสุกัญญา วงศ์สถาปัตย์
กำกับการแสดง : เฉลิม วงค์พิมพ์
บทภาพยนตร์ : เฉลิม วงค์พิมพ์และ ก้องเกียรติ โขมศิริ
กำกับภาพ : สวน บุญหล้า
กำกับศิลป์ : สหรัฐ บุญสถิตย์
ลำดับภาพ : เฉลิม วงค์พิมพ์และวิชิต์ วัฒนานนท์
ออกแบบงานสร้าง : เกียรติชัย คีรีศรี
ออกแบบกำกับคิวบู๊ : สมใจ จันทร์มูนตรี
แนวภาพยนตร์ : แอ็คชั่น – คอมิดี้
นำแสดงโดย : พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง, สามารถ พยัคฆ์อรุณ, ทศพล ศิริวิวัฒน์, อัมรินทร์ นิติพน, พิเศก อินทรครรชิต, วิวัฒน์ (แช่ม แช่มรัมย์), ค่อม ชวนชื่น, ประกาศิต โบสุวรรณ,อภิรดี ภวภูตานนท์, อาทิตยา ดีถีเพ็ญ, อรรฆรัตน์ นิติพน, Sano Hiro

นักแสดง:

พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง .... จ่าดับ จำเปาะ 
สามารถ พยัคฆ์อรุณ .... เหมาะ เชิงมวย 
ทศพล ศิริวิวัฒน์ .... ตังกวย แซ่ลี้ 
อัมรินทร์ นิติพน .... อัคคี เมฆยันต์ 
พิเศก อินทรครรชิต .... ดั่น มหิทธา 
แช่ม แช่มรัมย์ .... กล้า ตะลุมพุก 

วันที่เข้าฉาย: 28 เมษายน 2548


คาแรกเตอร์เหล่า 7ประจัญบาน


“จ่าดับ จำเปาะ” นำแสดงโดย พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง
หัวหน้าเหล่าฮีโร่ที่มีกางเกงแดงเป็นเอกลักษณ์ มีอาชีพเป็นทหารรับจ้าง อุปนิสัยใจร้อนและมีความมั่นใจในตนเองสูง รักพวกพ้องเป็นผู้นำและเป็นที่เคารพของกลุ่ม ในภาคสองนี้ยังคงได้พระเอกตลอดกาลอย่างอ๊อฟ พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจงมารับบทจ่าดับเช่นเดิมแต่ภาคนี้จ่าดับจะมาเปิดเผยความลับระหว่างรักครั้งแรกที่เป็นที่มาของกางเกงแดง พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจงเข้าวงการครั้งแรกโดยการแสดงละครเรื่อง “เมฆินทร์พิฆาต” ทางช่อง3และโด่งดังจากละครเรื่อง “ เทวดาตกสวรรค์” ส่วนผลงานภาพยนตร์ก็มีเรื่อง “ เรารักกันนะที่ปักกิ่ง”เป็นเรื่องแรกในปี พ.ศ.2530 และมีผลงานที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 15เรื่องแต่ละเรื่องถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง อาทิ อันดากับฟ้าใส ต้องปล้น พันธุ์หมาบ้าและสุริโยไทและในวันนี้พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจงกลับมาทวงเสียงหัวเราะกับคาแรกเตอร์เดิมแต่เพิ่มบทแอ็คชั่นและความฮาในหนังภาคต่อของผู้กำกับเฉลิม วงค์พิมพ์กับ7ประจัญบานภาค2...
“ ในภาคนี้ผมก็ยังเป็นจ่าดับคนเดิม เป็นหัวหน้าที่อายุมากที่สุดในทีม ภาคนี้จะบอกกล่าวถึงที่มาของกางเกงแดง ความรักและความสูญเสียก็จะมีการเอ่ยถึงอดีตแฟนคือคุณอภิรดี ภวภูตานนท์ก็จะมีฉากกุ๊กกิ๊กกันตามประสาคู่รัก มีงอนกันบ้าง เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดแต่จะออกมาในสไตล์ขำๆ ผมว่าภาคนี้จะมีความน่ารักของตัวละครเพิ่มเข้ามามากมายครับ” 

“ เหมาะ เชิงมวย” นำแสดงโดย สามารถ พยัคฆ์อรุณ
เหมาะ เชิงมวยเป็นพี่ชายของหมัด เชิงมวย เก่งทางด้านแม่ไม้มวยไทยเป็นคนอ่อนน้อมและเชย มักจะถูกเพื่อนๆแกล้งเสมอ ในภาคนี้ผู้กำกับได้ชวนสามารถ พยัคฆ์อรุณ เพชรฆาตหน้าหยกแห่งวงการหมัดมวยมารับบทเป็นเหมาะน้องชายของเท่ง เถิดเทิง สามารถ พยัคฆ์อรุณเริ่มเข้าวงการด้วยการแสดงภาพยนตร์เรื่อง “นักเลง” ของโคลีเซียม ต่อมาได้เป็นนักร้องของค่ายแกรมมี่และได้รับตำแหน่งโดมอนแมน ( นายแบบ) หลังจากนั้นได้กลับไปชกมวยอีกครั้งพออายุมากขึ้นจึงแขวนนวมและหวนกลับเข้าวงการอีกครั้งโดยรับแสดงหนังและละครอีกหลายเรื่อง ผลงานล่าสุดคือออกเทปชื่ออัลบั้ม “สามหมัดสะบัดไมค์” ร่วมกับเขาทราย กาแล็คซี่และสมรักษ์ คำสิงห์ของไทเบียร์และมีภาพยนตร์มากมายหลายเรื่องและละครเรื่อง “ทางหลวงทางรัก”
“ ผมรับบทเป็นพี่ชายของพี่เท่ง เถิดเทิงหรือหมัด เชิงมวยครับซึ่งทีมงานก็บอกว่าพี่เท่งเล่นได้กวนตีนมาก แต่ภาคนี้ผมก็จะเป็นแนวเงียบๆ กวนท่าทาง อยู่ในกลุ่ม 7คน ผมจะเป็นคนที่เก่งในเชิงมวยมากกว่าหมัด นักแสดงทุกคนน่ารักมาก ทำงานด้วยกันแล้วไม่เครียดเลย ฉากแอ็คชั่นจะมากกว่าภาคที่แล้วเกือบทั้งเรื่องก็ว่าได้และที่น่าสนใจคือแต่ละคนจะมีมุขเด็ดๆของตัวเอง”

ตังกวย แซ่ลี้ ( ทศพล ศิริวิวัฒน์ )
ตังกวย แซ่ลี้หรืออีกชื่อคือนายปรเมศร์ บุคลิกลักษณะจะเป็นคนโผงผาง รักเพื่อนจะไม่ยอมให้ใครมาเรียกตัวเองว่าเจ๊ก ใจน้อยง่าย บทตังกวยได้ ทศพล ศิริวิวัฒน์ นักแสดงหนุ่มเลือดสถาปัตย์ที่คนทั่วไปรู้จักกันดีในฉายา ทศ 108มงกุฏ ซึ่งเป็นทั้งผู้กำกับ สถาปนิก ครีเอทีฟ พิธีกรและนักเขียนมาร่วมถ่ายทอดบทบาทและในภาคนี้ตังกวยต้องพบกับความสูญเสียคนที่รักมากที่สุดแต่ก็ได้เพื่อนๆช่วยเหลือร่วมกันต่อต้านชาวญี่ปุ่นที่มาตั้งฐานทัพในเมืองไทยพร้อมทั้งให้กำลังใจตังกวยเป็นอย่างดี...
“ ในภาคนี้รับบทเป็นปรเมศร์เจ้าเก่าแต่คราวนี้จะไม่ซีเรียสเรื่องชื่อแล้วแต่จะซีเรียสเรื่องเตี่ยแทนเพราะว่าเตี่ยจะเป็นพวกใต้ดินเป็นคนจีนที่อยู่ในไทยและรู้สึกว่าพวกญี่ปุ่นจะมาย่ำยีก็เลยพยายามต่อสู้ จนถูกทหารญี่ปุ่นจับตัวไป เราก็จะตามหา ก็จะมีดราม่าเล็กน้อย การร่วมงานในภาคนี้ทีมงานและนักแสดงก็จะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เวลามากองถ่ายก็เหมือนนัดเพื่อนมาปิคนิค เหมือนนัดเพื่อนมาเจอกันมากกว่า”

อัคคี เมฆยันต์ ( อัมรินทร์ นิติพน )
เป็นคนกะล่อน ขี้เล่น ขี้โกงเป็นนักวางแผนตัวยงแต่แผนที่วางไว้ทำเพื่อตัวเองทั้งสิ้น ทั้งยังนิยมสร้างความเดือดร้อนให้แก่เพื่อน มีนิสัยเฮฮาร่าเริงสนุกสนานแต่รักการพนันเป็นชีวิตจิตใจจนบางครั้งทำให้เสียงานเสียการ บทอัคคีได้ชายหนุ่มขี้เล่นอารมณ์ดีอย่าง อ่ำ อัมรินทร์ นิติพนซึ่งเป็นคนที่เฉลิม วงค์พิมพ์บอกว่าหล่อและกะล่อนได้ลงตัวที่สุด อ่ำ อัมรินทร์ โด่งดังจากการเป็นนักร้องค่ายแมดแคทซ์ ในเครือแกรมมี่ โดยอัลบั้มที่สร้างชื่อเสียงให้แก่อ่ำเป็นอย่างมากก็คือ นิราศร็อค กับบทเพลงกวนๆตามสไตล์ผู้ชายอารมณ์ดีอย่าง “ลอยกระทงวันสงกรานต์” และ “หิริโอตตัปปะ” ส่วนทางด้านการแสดงอ่ำเล่นละครเรื่อง “แอบเก็บใจไว้เพื่อเธอ” เป็นเรื่องแรกและตามด้วยบท ไอ้จกชายหนุ่มกะล่อน นิสัยดีที่ทำให้แฟนละครติดกันอย่างงอมแงม และจากเรื่อง “ทรามวัยกับไอ้จก” นี่เองที่ทำให้ผู้กำกับเฉลิม วงค์พิมพ์ติดใจบทบาทถึงขั้นทาบทามอ่ำ อัมรินทร์มาเล่นภาพยนตร์เรื่อง 7ประจัญบานเป็นเรื่องแรกในบทอัคคี เมฆยันต์

“ รับบทเป็นอัคคีเหมือนเดิม เป็นตัวขี้โกง ชอบวางแผน แผนที่วางไว้ทั้งหมดก็เพื่อตัวเองชอบสร้างความเดือดร้อนให้แก่เพื่อนๆเหมือนเดิม ความน่าสนใจของภาคนี้จะอยู่ที่ความอลังการของฉากใหญ่ๆซึ่งก็มีหลายฉากจนรู้สึกว่าเหนื่อยและโหดกว่าภาคแรก การทำงานกับพี่เฉลิม ผู้กำกับก็ไม่เครียดเลย ทุกคนยิ้มสู้และทุ่มเท ผมว่าภาคนี้ไม่สร้างความผิดหวังให้กับผู้ชมอย่างแน่นอนครับ”

ดั่น มหิทธา ( พิเศก อินทรครรชิต )
เป็นคนเจ้าชู้หลงรักใครง่ายแต่จะค่อนข้างหน่ายเร็ว ชอบหาเรื่องกับจ่าดับเพราะจะแย่งกันจีบผู้หญิงและในภาคนี้ดั่นต้องแข่งกันจีบอังศุมาลย์กับจ่าดับ ต้น พิเศกเข้าวงการจากการแสดงภาพยนตร์มินิซีรีย์แนวกึ่งสารคดีเรื่อง “ปมไหม” ซึ่งเขารับบทเป็นนักข่าวที่เข้าไปสอบสวนหาความจริงเกี่ยวกับการหายสาปสูญของราชาไหมไทย จิม ธอมป์สันแต่ผลงานที่ดูจะโดดเด่นเป็นพิเศษสำหรับเขาก็คือบทมือปืนในเรื่อง “บางกอกแดนเจอรัส” ถึงขั้นกับคว้ารางวัลตุ๊กตาเงินสุรัสวดีเลยทีเดียวและในวันนี้ต้น พิเศกกลับมาอีกครั้งกับบทดั่น มหิทธาชายหนุ่มผู้เจ้าชู้ในภาพยนตร์แอ็คชั่น – คอมิดี้ภาคต่ออย่าง 7 ประจัญบาน 2

“ รับบทเป็นดั่น มหิทธาคาแรกเตอร์จะเหมือนภาคแรกครับคือเจ้าชู้ จีบผู้หญิงไปเรื่อยแต่ภาคนี้จะเจอของดีจนถึงกับต้องร้องไห้เลย ก็ดีใจครับที่ได้กลับมาร่วมงานกับทุกคนอีก คิดถึงทุกคน สำหรับความฮาก็ตลกทุกฉาก เล่นแล้วก็จะรู้สึกว่าเป็นกันเองมากขึ้น ทุกคนจะปล่อยมุขกันออกมา ส่วนแอ็คชั่นจะเพิ่มจากเดิมเยอะมาก บอกได้คำเดียวครับว่ามันส์แน่ๆ”

กล้า ตะลุมพุก ( แช่ม แช่มรัมย์ )
เป็นคนซื่อ อารมณ์ดี มีความสามารถในการใช้หมัด ในภาคนี้ก็ยังคงเอกลักษณ์คือหมัดหนักเหมือนเดิมซึ่งความสามารถเฉพาะบุคคลนี่เองที่ทำให้ทั้งเจ็ดรอดพ้นจากอันตรายมาได้อย่างหวุดหวิด บทกล้า ตะลุมพุกได้ชายหนุ่มอารมณ์ดีอย่างแช่ม แช่มรัมย์มาสวมบทบาทและในภาคนี้แช่มเผยทีเด็ดว่าได้สามารถ พยัคฆ์อรุณนักมวยมืออาชีพมาคอยเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้ แช่ม แช่มรัมย์ หนุ่มเสียงเหน่ออารมณ์ดี รักการเล่นกีตาร์และร้องเพลง แช่มประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงจากการเป็นนักร้องค่ายแกรมมี่โกลด์โดยเพลงที่โด่งดังที่สุดคือหัวใจมักง่าย ด้วยความซื่อบวกกับคาแรกเตอร์ที่เหมือนจะสู้รบปรบมือกับใครไม่เป็นทำให้เฉลิม วงค์พิมพ์มอบบทบาทกล้า ตะลุมพุก หนุ่มใสซื่อที่มีแค่หมัดหนักเป็นอาวุธให้กับแช่ม แช่มรัมย์
“ รับบทเป็นกล้า ตะลุมพุก มีหมัดเป็นอาวุธเหมือนเดิม การกลับมารวมตัวกันอีกครั้งรู้สึกว่าแน่นแฟ้นขึ้น มีความเป็นธรรมชาติเป็นพี่น้องกันเหมือนไม่ได้มาทำงาน ผมว่าภาคนี้มันส์หลายฉากมากโดยเฉพาะฉากที่ต้องต่อสู้กับซามูไร ผมว่าเจ็บตัวนิดหน่อยแต่ก็คุ้มครับ ฉากแอ็คชั่นในภาคนี้ผมว่ายิ่งใหญ่กว่าภาคที่แล้วครับ มีการสร้างฐานทัพญี่ปุ่น จำลองสะพานข้ามแม่น้ำแคว การทำงานในฉากแอ็คชั่นแต่ละฉากมันยากมากในความรู้สึกของผม”

จุก เบี้ยวสกุล ( ค่อม ชวนชื่น)
เป็นคนธรรมะธัมโม เชื่อเรื่องเครื่องลางของขลัง ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีความชำนาญเรื่องระเบิดเป็นพิเศษแต่โดยบุคลิกส่วนตัวจะเป็นคนที่ตลกหน้าตาย สร้างเสียงหัวเราะให้กับเหล่าเจ็ดประจัญบานได้เป็นอย่างดีบทเรียกเสียงฮาและรอยยิ้มนี้ได้นักแสดงตลกที่เรียกว่างานชุกที่สุดในตอนนี้อย่างค่อม ชวนชื่น มารับบทจุก เบี้ยวสกุล
“ ภาคนี้มีการเล่นของด้วยครับ ( หัวเราะ) รับบทเป็นจุก เบี้ยวสกุลเหมือนเดิม ก็รู้สึกดีใจมากครับที่ได้กลับมาร่วมงานกับทีมงานและพี่เฉลิม ผู้กำกับซึ่งเขาเป็นคนง่ายๆสบายๆ เขาจะชอบพูดกับนักแสดงทุกท่านว่าเราเป็นเพื่อนกันนะ ตอนอยู่ในกองก็จะสนุกสนาน ขำกันได้ทั้งวัน ภาคแรกจะมีเอฟเฟกต์มีการยิงกันเยอะ บทบู๊นิดหน่อยแต่ภาคนี้แอ็คชั่นจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม”

เบื้องหลังประจัญบาน
หนทางการเป็นผู้กำกับของชายหนุ่มอารมณ์ดีอย่าง เฉลิม วงค์พิมพ์ ความชื่นชอบและรักในการชมภาพยนตร์ทำให้เฉลิม วงค์พิมพ์เด็กหนุ่มจากขอนแก่นมีความใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ จากความชอบตั้งแต่เด็กที่มักจะหนีพ่อหนีแม่ไปดูหนังกลางแปลงที่แสดงนำโดยคู่ขวัญอย่างสมบัติ เมทนีและอรัญญา นามวงศ์รวมทั้งมีตัวร้ายอย่างดามน์ ดัสกรหรือเกชา เปลี่ยนวิถี ทำให้เขาตัดสินใจเอนทรานซ์เข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
“ผมชอบดูหนังตั้งแต่เด็ก ถ้าเรื่องไหนมีดามส์ ดัสกร มีลักษณ์ อภิชาติเล่นแล้วต่อยกับสมบัติ ชอบ ไม่ดูไม่ได้ พอเข้าปี1ที่จุฬาฯก็เริ่มรู้สึกว่าอยากเป็นผู้กำกับหนังก็จะซื้อนิตยสารหนังอย่าง สตาร์พิคส์ เอนเตอร์เทนมาอ่าน แล้วมีอยู่วันหนึ่งซื้อหนังสือสีสันเล่มแรกมาอ่าน หน้าปกจินตหรา เจอปื๊ด ธนิตย์ จิตนุกูลและอังเคิลลงสัมภาษณ์จึงมีความรู้สึกว่าตนเองก็สามารถที่จะเป็นผู้กำกับได้” จนวันหนึ่งโชคได้เข้าข้าง หนังเรื่องเดชคัมภีร์เทวดาที่โด่งดังมากในสมัยนั้นเข้ามาฉายในเมืองไทย เฉลิมได้มีโอกาสไปดูรอบมิดไนท์ที่โรงหนังชื่อดังอย่างโรงรามาและบังเอิญได้พบกับผู้กำกับปื๊ด ธนิตย์ จิตนุกูลและอังเคิลซึ่งในสมัยนั้นทั้งสองถือเป็นคู่ดูโอที่ดังมากจึงตัดสินใจทิ้งตั๋วหนังอย่างไม่เสียดายและตามหาปื๊ดและอังเคิลทั่วโรงภาพยนตร์ “ผมจำได้ว่าไปดูหนังเรื่องนี้แล้วคนเยอะมาก แน่นมาก เราก็เบียดๆเข้าไปในโรงหนัง จังหวะที่เบียดก็มีผู้ชายสองคน คนหนึ่งตัวดำๆคนหนึ่งผอมๆและก็จำได้ว่านี่มันพี่ปื๊ดกับพี่อังเคิลนี่หว่า ก็เลยตามหา เดินเข้าไปไหว้ พี่ปื๊ด พี่อังเคิลครับผมอยากทำหนัง พี่ปื๊ดก็พูดติดอ่างสไตล์เขา มึง….มึงไปเจอกูที่เพชร…เพชรรามา ชะช้านสาม พรุ่งนี้ แต่ตอนนี้มึงปะ..ไปได้แล้วกูจะดูหนัง ( หัวเราะ )”
เช้าวันรุ่งขึ้น เฉลิม วงค์พิมพ์ ตัดสินใจไปพบ ปื๊ด ธนิตย์ ที่โรงหนังเพชรรามาและได้เข้าไปทำในตำแหน่งพรอพในกองถ่ายหนังเรื่องโตแล้วต้องโต๋ เมื่อทำหนังได้สองเรื่องเขาจึงมีความคิดที่อยากจะเป็นอาร์ตไดเรกเตอร์ เนื่องจากเรียนมาทางด้านศิลปกรรม หลังจากนั้นความฝันที่จะเป็นผู้กำกับก็ค่อยๆเป็นจริงขึ้นมาเมื่อปื๊ด ธนิตย์ได้ย้ายมาเป็นผู้บริหารที่บริษัทไฟว์สตาร์และมีโปรเจกต์ที่ต้องดูแลหลายเรื่อง ในท้ายที่สุดหนังเรื่องไนท์ตี้ช็อคก็เป็นหนังเรื่องแรกที่เฉลิม วงค์พิมพ์ได้แสดงฝีมือด้านการกำกับและตามด้วยหนังบู๊ที่เป็นเรียลลิสติคอย่างล่าระเบิดเมืองและในท้ายที่สุด ปรัชญา ปิ่นแก้วผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ชื่อดังจึงได้เรียกเขาเข้าไปคุยเนื่องจากบริษัทสหมงคลฟิล์มต้องการหนังบู๊และคิดว่าเฉลิม วงค์พิมพ์ สามารถทำได้ จนกลายมาเป็นที่มาของภาพยนตร์เรื่อง 7ประจัญบาน

จากความสำเร็จในภาคแรกที่กวาดรายได้มามากว่า 50ล้านทำให้สหมงคลฟิล์มมีโปรเจกต์ยื่นให้ เฉลิม วงค์พิมพ์ กำกับใน 7ประจัญบานภาค2 ซึ่งสิ่งที่แตกต่างจากภาคที่แล้วก็คือในเรื่องของคอมมิดี้ที่มากขึ้น ส่วนแอคชั่นดีไซน์ก็จะทำให้เป็นการ์ตูนเพิ่มมากขึ้น ส่วนในเรื่องของนักแสดงเราได้มาครบทีมเหมือนเดิมจะขาดก็แต่ เท่ง เถิดเทิงที่ติดภารกิจไม่สามารถมาร่วมปฏิบัติการได้แต่ก็ได้เพชรฆาตหน้าหยกอย่าง สามารถ พยัคฆ์อรุณมารับบท เหมาะ เชิงมวยพี่ชายของหมัด เชิงมวยมารับบทแทน

ส่วนทางด้านโปรดักชั่น เฉลิม กล่าวว่า ..."ภาคนี้ใช้งบประมาณกว่า 50ล้านบาท เพราะแต่ละฉากยิ่งใหญ่อลังการมาก โดยเฉพาะฉากการสร้างสะพานบริเวณสะพานข้ามแม่น้ำแคว จ.กาญจนบุรีซึ่งก่อนหน้าที่จะถ่ายทำต้องมีการรีเสริช์ข้อมูลนานหลายปีและใช้เวลาการก่อสร้างนานกว่า 2 เดือน หมดงบประมาณไปประมาณล้านกว่าบาท แต่ถ้ารวมงบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้างจริงๆก็เกือบ 5 ล้าน เราพยายามดีไซน์ทุกรายละเอียดให้เหมือนของจริงทุกประการ มีการค้นข้อมูลว่าสะพานในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2เป็นอย่างไร ก็ได้ทราบว่าในสมัยนั้นสะพานข้ามแม่น้ำแควจะเป็นไม้ เราก็พยายามสเกตดีไซน์ให้ใกล้เคียง ในภาคนี้รายละเอียดจะเกี่ยวข้องกับงานโปรดักชั่นเป็นส่วนใหญ่และในภาคนี้เราต้องเซทอัพเครื่องบินขึ้นมาทั้งลำ ส่วนฉากที่เป็นแอคชั่นก็ต้องมีคอมมิดี้เข้ามาผสมจะไม่เป็นจริงเป็นจัง ส่วนการถ่ายทำกว่าจะได้แต่ละคัทแต่ละชอตลำบากลำบนกันมาก การดีไซน์เตรียมงานก็จะหนักมาก เกือบ2เดือนเพราะต้องไปปักเสา และต้องจ้างวิศวกรมาคุมงานก่อสร้างโดยเฉพาะเพราะมันเป็นการถ่ายทำที่อันตรายเพราะเครื่องบินที่เราเซทขึ้นมาหนักตั้ง2ตันกว่าหรือกว่า 2,000 กิโลทั้งยังต้องไถลไปตามสะพาน สะพานไม้ก็ต้องรองรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปอีกเพราะฉะนั้นถ้าสะพานไม่แข็งแรงจริงๆก็จะเป็นอันตรายต่อนักแสดงได้ ส่วนทางด้านนักแสดงก็ไม่มีปัญหาอะไร มีชื่อเสียงกันทุกคนและกว่าจะได้คิวก็เหนื่อยกันมาก ส่วนน้องมินท์ก็เคยร่วมงานกันมาตั้งแต่เรื่องตะเคียนแล้วก็คุ้นเคยกันดี ส่วนอภิรดีก็จับมาพลิกคาแรกเตอร์เป็นสาวหวาน เหมาะกับคนที่จะมาเป็นแฟนของจ่าดับ ในส่วนของนักแสดงที่ได้กลับมาร่วมงานในเรื่อง 7ประจัญบานอีกครั้งซึ่งในภาคนี้นักแสดงครบทีมจะขาดก็แต่เท่ง เถิดเทิงที่ติดภารกิจสำคัญมาไม่ได้"

 

Share this article :

แสดงความคิดเห็น