ผู้กำกับ : ทรงยศ สุขมากอนันต์
คำโปรย : " เพื่อน-ตาย " หาไม่ยาก...อย่างที่คิด
เรื่องย่อ: เมื่อเด็กชายถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำที่มีตำนานอาถรรพ์ เขาได้พบกับประสบการณ์ประหลาดที่ทั้งน่าขนลุกและทำให้เขาได้พบเพื่อนใหม่ในรูปแบบที่คาดไม่ถึง นี่ไม่ใช่ภาพยนตร์ผี แต่ยังเป็นเรื่องราวการเติบโตของเด็กคนหนึ่ง รวมถึงความสัมพันธ์อบอุ่นกับพ่อแม่และคุณครู
นักแสดง:
จินตหรา สุขพัฒน์ .... ครูปราณี
ชาลี ไตรรัตน์ .... ชาตรี
ศิรชัช เจียรถาวร .... วิเชียร
จิรัฎฐ์ สุขเจริญ .... เพ้ง
ธนบดินทร์ สุขเสรีทรัพย์ .... หมอหนุ่ย
อนุชิต ปนัดเศรณี .... สาโรช
ระบบถ่ายทำ: ฟิล์ม 35 มม., สี
วันที่เข้าฉาย: 23 กุมภาพันธ์ 2549
กำหนดเข้าหอ : 23 กุมภาพันธ์ 2549
ทีมเด็กหอ : ดราม่า-ระทึกขวัญ (ประเภทภาพยนตร์) / จีเอ็มเอ็ม ไท หับ (สร้างและจัดจำหน่าย) / ฟีโนมีน่า โมชั่นพิคเจอร์ส์ (ดำเนินงานสร้าง) / ทรงยศ สุขมากอนันต์ (กำกับ-เขียนบท) / จินตหรา สุขพัฒน์, ชาลี ไตรรัตน์, ศิรชัช เจียรถาวร, จิรัฏฐ์ สุขเจริญ, ธนบดินทร์ สุขเสรีทรัพย์, อนุชิต ปนัดเศรณี, ปะกาสิต พันธุรัตน์, สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล, นิภาวรรณ ทวีพรสวรรค์ (นำแสดง)
คุณเคยถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำมั้ย ?
คุณรับมือกับความเหงา และการไม่มีเพื่อนยังไง ?
ผมมีบางเรื่องจะเล่าให้คุณฟัง
คุณเชื่อเรื่องเล่าในโรงเรียนประจำมั้ย ?
เวลา 7 ปีของการอยู่หอ มีเรื่องราวมากมายผ่านเข้ามา
ความเหงา ความเศร้า ความสุข
การได้เพื่อนใหม่ ที่กลายเป็นเพื่อนซี้ และเพื่อนตาย…
คุณพร้อมจะฟังมันมั้ย ?
ถ้าพร้อม…ผมจะเล่าทุกอย่างให้คุณฟัง
คุณจะทำอย่างไร ถ้าเตียงใหม่ของคุณ คือเตียงเก่าของคนอื่น โดยไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ
...จีเอ็มเอ็ม ไท หับ จำกัด ร่วมกับ ฟีโนมีน่า โมชั่นพิคเจอร์ส บริษัทในเครือของฟีโนมีน่า บริษัทโฆษณาอันดับแนวหน้าของประเทศไทย ได้ฤกษ์เปิดหอ เตรียมปล่อยความระทึกทุกหัวระแหง ให้ได้เสียวสันหลังกันอีกครั้ง กับภาพยนตร์เรื่องที่สอง เรื่องที่มีชื่อว่า "เด็กหอ" หลังจากจับมือร่วมหอลงโลงกันทำภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องแรก "ชัตเตอร์ กดติตวิญญาณ" ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม พาคุณสั่นประสาท หวาดผวา และหลอนกับผีขี่คอ พร้อมโกยรายได้ไปกว่า 110 ล้านบาทมาแล้ว เมื่อกันยายน ปี2547 ที่ผ่านมา
...จากการกลั่นกรอง คัดสรร เลือกเฟ้น และสร้างสรรค์ฝีมือทุกขั้นตอนมาเป็นอย่างดี ตั้งแต่บทภาพยนตร์ ที่ผู้กำกับฯ ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์ คั้นจากเหล่าเรื่องเล่าผี ๆในโรงเรียนประจำ มาให้ผวากันถึงในจอ การคัดเลือกนักแสดง ตลอดจนงานสร้าง การถ่ายทำ ที่เน้น รายละเอียด ภาพ และบรรยากาศที่หลอนสมจริง
...ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบ คลั่งไคล้ และสนุกกับการติดตาม คาดเดาเหตุการณ์ ความลึกลับ และ ความเร้นลับ รับประกันว่า "เด็กหอ" หนังผีในสไตล์ของ "ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์" จะพาคุณระทึก จน คอหนังผีอย่างคุณไม่ควรพลาด !!!
กฎระเบียบหอพัก
1) ห้ามบุคคลภายนอกเข้า 2) ห้ามอบายมุขทุกชนิด 3) ห้ามทะเลาะวิวาท 4) ห้ามนอนดึก
5) ห้ามส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น 6) ห้ามนำสัตว์เข้ามาเลี้ยง 7) ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มเข้ามาภายในหอ 8) ห้ามออกนอกหอพักหลัง 18.00
(ให้ปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด...ครูปราณี)
"ผมยังจำครั้งแรกที่จากบ้านไปไกลได้ดี…
ผมอายุ 12 เรียน ม.1 ผมถูกส่งไปอยู่โรงเรียนประจำอย่างฉุกละหุก
สาเหตุน่ะหรือครับ ก็เพื่อที่ผมจะได้พ้นไปจากบ้าน ไกลไปเสียจากพ่อ
คุณอาจจะสงสัยว่าทำไม แต่ผมไม่แปลกใจหรอก เพราะผมนี่แหละ คือคนที่รู้ความลับของเขา
การต้องย้ายโรงเรียนกลางเทอมเป็นเรื่องโหดร้ายจริง ๆ ไหนจะห้องเรียนใหม่
ไหนจะเรือนนอนที่ไม่สนิทใจเหมือนอยู่บ้าน ที่แย่ที่สุดคือ เตียงใหม่ของผม
มันดันเป็นเตียงเก่าของคนอื่น
คุณเคยนอนบนเตียงที่ไม่รู้ว่าใครเคยเป็นเจ้าของมั้ยครับ มันน่าขนลุกชะมัด
อยู่ที่นี่ผมเหงามาก ไม่ค่อยมีเพื่อน มีที่สนิทกันจริง ๆ แค่คนเดียว เราสองคนชอบแอบไปเล่นที่สระเก่าหลังโรงเรียน
มีเรื่องเล่าว่า หลายปีมาแล้ว ก่อนที่โรงเรียนจะสร้างสระว่ายน้ำใหม่ สระแห่งนี้เคยเป็นที่เล่นน้ำของพวกเด็ก ๆ ในช่วงสุดสัปดาห์
แต่ปัจจุบันสระกลับถูกปิดตาย มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับสระน้ำนั้น
คุณเชื่อเรื่องเล่าในโรงเรียนประจำมั้ยครับ
ผมไปรู้ความลับเข้าอย่างหนึ่ง ถ้าคุณสัญญาว่าจะไม่บอกใคร
ผมจะเล่าให้คุณฟัง..."
(ต้น ชาตรี)
"ต้องขอขอบคุณ พี่ปอบผีฟ้า กับ น้ากระสือ ที่ทำเอาตอนเด็กผมกลัวแทบคลั่ง แต่กลายเป็นจุดเริ่มต้น ทำให้ผมชอบดูหนังผีนับตั้งแต่นั้น จนนำมาสู่การอยากทำหนังแนวนี้ของผม"
ชื่อ ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์
สถานภาพ โสด
อาชีพ / ตำแหน่ง คุณครูใหญ่ / ผู้กำกับ
บุคลิก สุภาพ นิ่ง ขรึม พูดจาเป็นหลักเป็นการ
รูปร่าง / ลักษณะ ไม่สูง ไม่ผอม หัวกลม ผมเกรียน
ดาราคนโปรด แหม่ม จินตหรา สุขพัฒน์
ประสบการณ์การอยู่หอ 7 ปีเต็ม
...เรื่องมันเริ่มมาตั้งแต่ หลังจากที่ผมทำหนังเรื่อง "แฟนฉัน" เสร็จ ผมก็เตรียมโปรเจคหนังเรื่องต่อไปทันที นั่นคือเรื่องนี้ครับ "เด็กหอ" นับเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนแรกของผมคนเดียวโดยแท้ มันคงเป็นช่วงเวลาในตอนนั้นละมั้ง ที่ผมนึกอยากทำเรื่องนี้ เพราะประสบการณ์จากการอยู่โรงเรียนประจำสำหรับผม มันยังฝังใจผมอยู่ ไม่หายไปไหน ผมเลยอยากนำเรื่องราวของเด็กโรงเรียนประจำ มาเล่าผ่านตัวละครเด็กชั้น ม.1 เพราะเด็กวัยนี้เป็นรอยต่อระหว่างวัยเด็กและผู้ใหญ่ เป็นช่วงอายุที่ประสบการณ์ชีวิตจะทำให้เด็กโตขึ้น ดังนั้นการเอาเด็กให้ไปโตในโรงเรียนประจำ ผมว่ามันน่าสนใจครับ แล้วก็เอามาผสมกันกับ เรื่องลึกลับ เรื่องผี ๆ แนวหนังที่ผมชอบ เพราะรู้สึกว่าหนังแนวนี้มันทำให้เราเกิดอารมณ์ร่วมที่รุนแรงได้ มันทำให้เรากลัว ทำให้เราตกใจ ทำให้เรานอนไม่หลับ ทำให้เราเกิดปฏิกริยาต่าง ๆ ขึ้นในร่างกาย ผมรู้ว่าคุณคงเข้าใจดี
...จริง ๆ แล้วสำหรับเรื่องนี้ ผมเอาพื้นฐานที่รู้ในชีวิตนักเรียนประจำมาปูเป็นแบ็คกราวด์ไว้ เพื่อให้คนดูดูแล้วเชื่อ เพราะผมรู้สึกว่าคนดูจะเชื่อในสิ่งที่ผมกำลังถ่ายทอดอยู่ ถ้าผมรู้จักและเข้าใจชีวิตของนักเรียนประจำจริง ซึ่งข้อนี้ผมกล้ายืนยัน เพราะตัวผมเองถูกส่งเข้าโรงเรียนประจำรวมเวลาแล้วถึง 7 ปีได้ ตั้งแต่ชั้นป.1 – ป.4 ที่โรงเรียนปานพันธ์ และอีกครั้งที่อัสสัมชัญ ศรีราชา ชั้น ม. 1 – ม. 3 จะว่าไปผมก็ไม่ได้ถูกบังคับให้ไปอยู่หรอกนะครับ แค่ผมไม่ได้อยากจะไปก็เท่านั้น เหตุผลที่ถูกส่งไปนะเหรอ เป็นเพราะผมเองล่ะครับ เพราะผมชอบแกล้งน้อง ๆ คือนอกจากพ่อแม่ต้องค้าขาย เลี้ยงลูกที่มีอายุห่างกันคนละปี ถึง 4 คนแล้ว ผมซึ่งเป็นพี่คนโตยังสร้างภาระโดยการแกล้งน้องไปวัน ๆ อีก และนี่คือทางออกที่น่าจะดีที่สุด การส่งผมไปอยู่โรงเรียนประจำ ไปเป็นเด็กหอ ตอนที่ผมถูกส่งไปแรก ๆ ก็เกลียด ไม่อยากไป ไม่ชอบ แต่พอตอนจะกลับ ผมกลับไม่อยากกลับเลย ทำให้มีคำถามขึ้นมาในใจว่าทำไมชีวิตเด็กหอ 3 ปีที่นั่น มันทำให้เปลี่ยนความคิดจากไม่อยากอยู่โรงเรียนนี้ เป็นไม่อยากไปจากโรงเรียนแห่งนี้ และจุดนี้เอง ที่ผมนำมาเป็นประเด็นของหนังเรื่องนี้ครับ
...ส่วนเรื่องความน่ากลัว หรือเรื่องผีในเรื่องนี้ ก็จะเป็นเรื่องที่ผมเจอและได้ยินมาเมื่อตอนเป็นนักเรียนโรงเรียนประจำ เป็นเรื่องเล่า เรื่องลึกลับ เรื่องผีในโรงเรียน แล้วก็เอามาปรับให้เข้ากับหนังเรื่องนี้ จะว่าไป นึก ๆ ดูแล้ว ผมก็ไม่มีเซ้นส์เรื่องผี ๆ และก็ยังไม่เคยเจอผีอยู่ดี นี่ไม่ได้ท้าทายนะครับ แต่ถ้าจะมาจริง ๆ ผมคงไม่ว่างเจอครับ เพราะช่วงนี้ผมยุ่งมากกก... แต่อย่างไรก็ตามความลึกลับ ความน่ากลัว ของหนังเรื่องนี้ผมจัดให้คุณแน่นอน และจะทำให้คุณรู้สึกขึ้นจากภายในตัวคุณเอง เพราะเป็นสิ่งที่คุณต้องคิด ต้องจินตนาการตามไปด้วย คือเป็นหนังผีที่เน้นบรรยากาศครับ อย่างถ้าเราตื่นขึ้นมากลางดึก ได้ยินเสียงหมาหอน แถมไฟในห้องน้ำเปิดอยู่ คือมันเป็นบรรยากาศ ที่เราไม่รู้ว่าที่ห้องน้ำมันมีอะไร คือถ้าคุณอินกับบรรยากาศแล้วคุณคิดตามไปด้วย ผมเชื่อว่าคุณจะขนลุกแน่นอน แต่ที่แน่ ๆ มันจะไม่มีอารมณ์ที่กลัวแบบเห็นผีมาเกาะอยู่หน้ากระจก หรือมีผีมาหลอก มาหลอน มาเลื้อยตรงหน้าคุณ หรือจะไม่มีเสียงดนตรีที่อยู่ ๆ ก็ดังขึ้นมาเฉย ๆ ให้เราตกใจ แต่ถ้ามันจะมีเสียงอะไรขึ้นมาให้ตกใจกัน มันก็จะต้องมีเหตุผลของมันครับ เรียกว่า "เด็กหอ" เป็นหนังผีในแนวของผม แนวของย้ง ทรงยศ ครับ
มาต่อกันที่เรื่องของโลเคชั่นกันบ้างครับ มี 2 ที่หลัก ๆ คือผมเลือกที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา กับโรงเรียนดรุณา ราชบุรี ผมเอาสองโรงเรียนนี้มาผสมกันเป็นโรงเรียนเดียว เพราะแต่ละที่ที่เลือกเป็นสถานที่ที่ลงตัวและเหมาะสมที่สุด หน้าตึกหอพัก ทางเดินขึ้นบันไดเข้าหอ ทางเข้าโรงเรียน ห้องกินข้าว ผมใช้ที่ดรุณา ราชบุรี ส่วนห้องทำการบ้าน ห้องนอน ห้องอาบน้ำ เป็นของอัสสัมชัญฯ ซึ่งอาจทำให้มีปัญหาเรื่องของอารมณ์ที่ไม่ต่อเนื่องกัน ด้วยข้อกำหนดของสถานที่และเวลา ซึ่งผมก็ต้องควบคุมตรงนี้ให้ดี แต่ผลที่ออกมาก็เป็นที่น่าพอใจครับ เพราะนักแสดงมีความพยายามและตั้งใจกันดีมากทุกคน ทำให้ปัญหาตรงนี้หมดลงไปได้ และการที่เราใช้เค้าโครงมาจากเรื่องจริงที่โรงเรียนอัสสัมชัญฯ พอมีสถานที่จริง มีตัวคนจริง ๆ อยู่ ทุกครั้งที่ถ่ายทำเลยต้องมีการไปไหว้ ไปแจ้ง ไปบอกในที่ตรงนั้นไว้ด้วยเพื่อความสบายใจของทุกคน ซึ่งทั้งหมดนี้เราต้องยอมแลกเพราะอยากให้คนดูได้เชื่อ ได้เห็นถึงความสมจริงในสถานที่ต่าง ๆ และอีกอย่างที่เราพิถีพิถันกันมากในเรื่องนี้ คือทั้งภาพและแสง หนังเรื่องนี้เราเลือกที่จะถ่ายกันในแสงช่วงชิงเช้าและชิงพลบมาก เรียกว่าเป็นช่วง Magic Moment ซึ่งเป็นช่วงที่มีเวลาน้อยมากในแต่ละวัน ทำให้ต้องทำงานแข่งกับเวลามาก แต่เพื่อให้ได้ภาพออกมาสวยและได้อารมณ์ของหนังอย่างที่ต้องการจริง ๆ เราจึงเลือกที่ทำงานกันหนักขึ้น เพื่อคนดูของเราครับ
...อีกเรื่องที่ถือว่าเป็นปัญหาชีวิตของผมเลย คือในเรื่องนี้ต้องมีนักแสดงเด็กจำนวนมาก หนังเรื่องนี้จึงต้องแคสติ้งเด็กเยอะมาก ๆ เรียกว่าเยอะกว่าแฟนฉันประมาณ 3-4 เท่า แต่ก็ยังคงใช้วิธีเดียวกับแฟนฉัน คือไปหาเด็กตามโรงเรียน คราวนี้เราไปหาเด็กที่มีคาแร็คเตอร์ตรงกับบท เพราะผมไม่อยากได้เด็กที่มาแสดง ดังนั้นเลยต้องหาเด็กแต่ละคนที่มีลักษณะตรงกับบท หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นคาแร็คเตอร์ที่นำพาไปสู่การเล่าเรื่องในแบบที่บทต้องการได้ โดยที่ไม่จำกัดคาแร็คเตอร์ที่ชัดเจนลงไปมากนัก เพราะผมเชื่อว่าบางทีเราก็จะได้คาแร็คเตอร์จากตัวของเด็กเองก็ได้ และพอได้เด็กมาแล้วก็มาทำการเวิร์คช็อปกันเป็นเวลา 1 เดือน ให้ได้รู้ขั้นตอน กระบวนการถ่ายหนัง แต่หลังจากเวิร์คช็อพแล้ว ผมกลับพบกับปัญหาใหญ่ นั่นคือพอเด็กมันรู้มากแล้ว ความเป็นธรรมชาติจะลดน้อยลง บวกกับความดื้อ ความซน ความสุดขีดที่เด็กแต่ละคนมี ทำให้ผมต้องปวดเศียรเวียนเกล้า จำเป็นต้องกลายร่าง สวมบทโหดเพื่อให้เด็กเกรง และกลัวผมบ้าง ซึ่งมันทำให้ผมเหนื่อยมากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากต้องมีสมาธิ ต้องคิดและควบคุมหนังให้เป็นไปตามที่ต้องการแล้ว ยังต้องมาผจญ รับมือ และจัดการกับเด็กพวกนี้อีก
...พูดง่าย ๆ ว่าผมเข็ดแล้ว เข็ดที่คงจะไม่ทำหนังเกี่ยวกับเด็กผู้ชายอีกเร็ว ๆ นี้แน่ แต่ก็ไม่เข็ดจนถึงขั้นหลาบจำหรือเลิกราไปเลยหรอกนะครับ เพียงแค่เอาไว้ให้โต ๆ กันซะก่อนแล้วค่อยมาเจอกันใหม่ละกัน ขอเวลาผมพักไปทำอย่างอื่นก่อนละกันนะครับ แต่อย่างไรซะ เด็กพวกนี้ก็ตั้งใจทำอย่างดีที่สุดแล้ว และก็ได้ใจผมไปแล้วด้วยเหมือนกันครับ และก่อนที่ผมจะเริ่มแนะนำนักแสดงมากฝีมือ ทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นเล็กของผมให้คุณได้เห็นโฉมหน้าและรู้จักกันจริง ๆ แบบจะ ๆ ตา ผมขอคั่นเวลาด้วยเรื่องบางเรื่องที่ผมอยากเล่าให้คุณฟัง...เชิญทางนี้สิครับ
สระร้าง วิญญาณเฮี้ยน !!!
...เรื่องมันมีอยู่ว่า เด็กหอใหม่ สด ซิง อย่าง "ชาตรี" มักแอบไปนั่งเล่นที่สระน้ำเก่าหลังโรงเรียนเสมอ ๆ อาจด้วยทั้งความเหงา ความซน หรือความรู้สึกอะไรบางอย่าง จึงตัดสินใจใช้ สระว่ายน้ำเก่าหลังโรงเรียน เป็นเครื่องระบายความเหงา และความเศร้าอยู่เป็นประจำ ฉากนี้จึงเป็นฉากสำคัญของเรื่องฉากหนึ่ง ทีมงานจึงต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อค้นหาสถานที่ถ่ายทำของฉากสำคัญนี้ นั่นคือ สระว่ายน้ำร้างที่ไหนซักแห่ง
...ณ สระว่ายน้ำร้าง ริมถนนมิตรภาพ จังหวัดนครราชสีมา เป็นที่ที่ทางทีมงานเลือก และตกลงจะใช้สถานที่แห่งนี้ถ่ายทำในฉากสำคัญของเรื่อง หลังทีมงานได้ตระเวนหาสระน้ำที่ต้องการมาทั่วทั้งในกรุงเทพฯ และรอบนอก แต่ไม่พบที่ถูกใจ จนมาพบสระว่ายน้ำร้างแห่งนี้ อันที่จริงมันคือสระว่ายน้ำของโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย ที่ถูกสร้างแยกออกมาจากตัวโรงเรียน โดยไปสร้างอยู่ริมถนนมิตรภาพ สภาพของสระที่เห็นครั้งแรกรู้สึกแปลก ๆ ดูวังเวง น่ากลัว และก็ชวนให้ขนหัวลุกยังไงบอกไม่ถูก
...แต่พอก้าวเท้าเข้าไปได้ไม่เท่าไหร่ สิ่งที่สะดุดตาและทำพวกเราผวาก็คือ ที่มุมของสระว่ายน้ำแห่งนี้มีศาลเจ้าที่ดูขลังและเก่าแก่ ที่แทบจะถูกต้นไม้อันรกชัฏริมสระว่ายน้ำบังเกือบมิดตั้งอยู่ รวมทั้งยังคงมีเศษของไหว้เจ้าให้เห็นหลงเหลืออยู่วางระเกะระกะอยู่ทั้งในศาลและนอกศาลด้วย ทำเอาพวกเราไม่กล้าที่จะขยับขาก้าวไปไหนชั่วครู่ ได้แต่ใช้สายตามองกวาดไปรอบ ๆ สระน้ำ ซึ่งภาพโดยรวม เป็นลักษณะของสระว่ายน้ำสมัยก่อน โดยสร้างให้เป็นสระที่มีความลึกมาก ซึ่งตรงความลึกนี้เป็นเหตุผลนึงที่ทำให้เราเลือกที่นี่ เพราะสามารถเอากล้องลงไปถ่ายในช่วงความลึกนั้นได้ และเพราะฝนตก จึงยังคงมีน้ำท่วมขังอยู่ในสระ รวมทั้งเศษใบไม้ กิ่งไม้กระจายเกาะอยู่เต็มสระไปหมด ยิ่งทำให้เรารู้สึกแน่ใจเข้าไปอีกว่าสระน้ำแห่งนี้ถูกปล่อยร้างมานานมากแล้วจริง ๆ และถ้ามองภาพมุมกว้าง บริเวณรอบสระน้ำแห่งนี้ เราจะเห็นเพียงแค่ท้องฟ้ากับต้นไม้สองอย่างเท่านั้น ไม่เห็นอย่างอื่นเลย และจากจุดนี่เองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทางทีมงานเลือกสถานที่แห่งนี้
...และเพราะว่าสระว่ายน้ำร้างแห่งนี้ มันใช่ทุกอย่างที่เราต้องการจริง ๆ เราจึงตกลงปลงใจเลือกที่นี่ และพอถึงวันถ่ายทำสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงและต้องทำเป็นประจำทุกครั้ง คือต้องเคารพเจ้าที่ ทุกครั้งที่มีการถ่ายทำที่นี่ ต้องมีการจุดธูปไหว้ศาลเจ้า 3 ดอก และต้องจุดธูปอีก 1 ดอก เพื่อไหว้ดวงวิญญาณที่สถิตอยู่แถวนั้น และต้องนำทีมงานรวมทั้งนักแสดงมาไหว้กันทุกคนด้วย แต่ในที่สุดเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อมีอยู่วันนึง เป็นวันที่พวกเรายุ่งกันมาก ๆ ต้องรีบถ่ายทำ แต่ละฝ่ายต้องรีบจัด รีบเซ็ทอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้เรียบร้อย ซึ่งทำให้ทุกคนลืมการไหว้เจ้าที่ไปซะสนิท ผลที่ตามมาก็คือ ภาพที่ถ่ายออกมามันเบลอไปหมด ทุกคนก็งง ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร เช็คทุกอย่างแล้วก็หาสาเหตุไม่ได้ จนในที่สุดไม่รู้อะไรทำให้นึกขึ้นได้ จึงรีบพากันไปไหว้เจ้าที่ที่ศาลแห่งนั้น พอกลับมาอีกที กลับถ่ายได้ด้วยดีไม่มีปัญหา ไม่มีภาพเบลอเกิดขึ้นอีกเลย ซึ่งทำเอาทุกคนในนั้นต่างมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรกันเลยแม้แต่คนเดียว
...เหตุการณ์นี้ทำให้เราคิดถึงคำทักของเจ้าหน้าที่คนนึง ที่รู้เรื่องราวที่นี่เป็นอย่างดี เพราะคอยดูแลสระว่ายน้ำแห่งนี้ตั้งแต่เริ่มสร้าง จนกลายเป็นสระน้ำร้างถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่คนนี้ได้พูดทักพวกเราหลังจากที่พวกเราตกลงเลือกสถานที่แห่งนี้ว่า "จะเอาที่นี่จริง ๆ เหรอ ที่ตรงนี้มันแรงนะ" เพราะสาเหตุที่ต้องเป็นสระว่ายน้ำร้างจนถึงทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนที่นั่นบอกกับเราว่า เคยมีคนจมน้ำตาย ทางโรงเรียนจึงต้องปิดสระไป และก่อนหน้าที่ทางทีมงานจะเดินทางมาที่นี่ ประมาณ 3-4 เดือน ได้มีเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมขึ้น คือมีเด็กกลุ่มหนึ่งอายุ 8-9 ขวบ มาเล่นซนและปีนขึ้นไปที่สระน้ำกัน จนพลัดจมน้ำตาย แต่ที่น่าแปลกคือไม่มีใครสามารถงมศพขึ้นมาได้ เพราะหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ทั้ง ๆ ที่ก็อยู่แค่ในสระน้ำนี้เท่านั้น จนต้องรอถึงวันรุ่งขึ้น รอให้ศพลอยอืดขึ้นมาเอง !!!
...และนี่ล่ะครับคือประวัติหลอนปนสยองของสระว่ายน้ำร้างแห่งนี้...ที่ที่เรา ทีมงาน "เด็กหอ" เลือกถ่ายทำกัน
"ผมถูกบังคับให้มาอยู่หอ มาเป็นเด็กหอ เพราะพ่อไม่รักผม ดีที่มีเพื่อนคอยสอนผม ช่วยผม และผมก็รักเพื่อนคนนี้มาก"
ชื่อ เด็กหอ ชาตรี (ต้น)
ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1
บ้านเกิด กรุงเทพฯ
บุคลิก เหม่อ ซึม เศร้า ชอบอยู่คนเดียว พูดคนเดียว
รูปร่าง / ลักษณะ ผอม เพรียว สันทัด ดวงตาเหมือนซ่อนอะไรไว้ภายใน
วิชาถนัด วิทยาศาสตร์
อาหารโปรด ไข่เจียว
ฮีโร่ พี่หนุ่ย ไมโคร
...ครูใหญ่ย้งเคยบอกผมว่า คาแร็คเตอร์ของต้น เป็นคาแร็คเตอร์ที่หายาก คือต้องการเห็นเด็กที่ถ้าเราเอากล้องไปจับที่หน้าและให้ยืนนิ่ง ๆ แล้วถ้าสามารถเห็นความรู้สึกหรือความคิดอะไรบางอย่างได้ นั่นคือต้น คือต้องดูแล้วเป็นเด็กที่คิดมาก เป็นเด็กที่เงียบ ๆ พูดไม่เยอะ แต่เด็กแบบนี้หายาก ซึ่งครูใหญ่ย้งบอกว่าผมเป็นอย่างนั้น ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นเด็กที่คิดมาก แต่ภาพของผมมันสามารถสื่อออกมาในตรงนั้นได้ และยังบอกด้วยว่า ผมเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มีไว้แล้วในใจ ด้วยเพราะผมมีคาแร็คเตอร์ที่เหมือนกับต้น ครูใหญ่ย้งยังบอกอีกว่า ผมใกล้เคียงต้นมากกว่าใกล้เคียงเจี๊ยบใน แฟนฉัน อีก
...จะว่าไปครูใหญ่ย้งเป็นคนที่เข้าใจผมที่สุด เพราะไม่ว่าผมจะงอแง ขี้บ่นตลอดเวลาแค่ไหน ครูใหญ่ย้งก็จะไม่สนใจผม ปล่อยให้ผมบ่นของผมไป และพอจะให้ผมทำอะไรก็จะมาบอกมาพูดกับผมดี ๆ ซึ่งผมก็จะเต็มใจทำอย่างเต็มที่ แต่ปัญหาของผมมันดันมีอยู่ว่า ผมไม่ค่อยมีสมาธิ เมื่อไหร่ที่ผมไม่มีสมาธิ เมื่อนั้นครูใหญ่ย้งก็จะใช้ไม้แข็งกับผม คือจะเข้ามากดดัน ประชดผม ว่าผม ตบหัวผม และไม่รู้ทำไมผมไม่โกรธ แถมยังได้ผลทุกครั้งไป ถ้าพูดไปครูใหญ่ย้งก็เป็นคนที่เข้าอกเข้าใจผมที่สุด พอ ๆ กับเตะ ตบผมบ่อยที่สุดเหมือนกัน แต่ยังไงผมก็ยังรัก ถึงผมเป็นเด็ก ผมก็เข้าใจว่าที่ทำไปเพราะต้องการให้ผมตั้งใจ อยากให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุดนั่นแหละ
...แต่ผมก็มีข้อดีของผมเหมือนกันนะ ครูใหญ่ย้งบอกว่าผมมีข้อดีตรงที่ ผมเกิดมาจากหนัง เริ่มต้นมาจากหนัง เพราะฉะนั้นทางการแสดงมันเลยเป็นทางของหนังอยู่แล้ว มันเลยไม่ต้องปรับทาง ปรับอะไรกันมาก เห็นมั้ยอย่างน้อยผมก็มีตั้งสิ่งหนึ่งที่ครูใหญ่ย้งจะเบาใจไปได้บ้างล่ะน่า
[ประวัติแก็งค์เด็กหอ : เด็กหอ ชาลี ไตรรัตน์ (แน็ค) / รับบท : ต้น / เกิด : 19 ม.ค 2536 / อายุ : 13 ปี / สูง : 148 ซม. / น้ำหนัก : 38 กก. / ผลงาน : ภาพยนตร์แฟนฉัน, ละครครูไหวใจร้าย, โฆษณาลูกอมคูก้า / ประสบการณ์การอยู่หอ : ไม่มี เพราะชอบอยู่บ้านมากกว่า]
"ผมไม่รู้ตัวหรอก ว่าผมเก๋า ผมเจ๋ง แค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ ผมอยู่ที่หอนี้มานาน นานจนอยากช่วยเหลือเพื่อนใหม่ที่เพิ่งมาถึง ก็เท่านั้น"
ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1
บ้านเกิด กรุงเทพฯ
บุคลิก ร่าเริง สดใส เก๋า และเท่ห์
รูปร่าง / ลักษณะ สันทัด คล่องแคล่ว แววตาดูเศร้า
วิชาถนัด สังคม
อาหารโปรด กระเพราไก่ไข่ดาว
ฮีโร่ พ่อ
...จริง ๆ แล้วตอนแรกภาพของวิเชียร ก็ไม่ใช่อย่างที่ผมเป็นหรอกนะ ครูใหญ่ย้งบอกว่า วิเชียรเป็นคาแร็คเตอร์ที่หายากมาก ๆ หาเท่าไหร่ก็ยังไม่เจอวิเชียรแบบที่ต้องการซะที คือวิเชียรต้องดูร่าเริง สดใส ต้องดูลูกทุ่ง ๆ หน่อย และที่สำคัญต้องดูเก๋า เพราะต้นเป็นเด็กเศร้าแล้ว วิเชียรจึงต้องเป็นเด็กที่ร่าเริง ถึงจะเปลี่ยนชีวิตต้นได้ พอมาเจอผม หลายคนบอกกันว่าผมหน้าตาดูทันสมัยไป ดูเป็นเด็กสยามเกินไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ครูใหญ่ย้งบอกว่าผมน่าสนใจคือ ผมเป็นเด็กตาเศร้า ซึ่งวิเชียรควรเป็นอย่างนั้น และเป็นเด็กที่ดูมีอะไรลึก ๆ อยู่ข้างใน ดูแล้วมีความเก๋าแต่เป็นในแบบของผมนะ ไม่ใช่แบบของวิเชียรที่เคยมองภาพไว้แต่แรก
...และสิ่งที่ครูใหญ่ย้งชอบผมมากคือ ตอนแคส ให้ผมเล่นกีตาร์ แล้วผมก็ร้องเพลงเป็นเพลงแปลงตลก ๆ ตอนนั้นทุกคนลงความเห็นว่าผมเท่ห์มาก ดู cool มาก เพราะตั้งแต่แคสกันมายังไม่มีเด็กคนไหนที่ดู cool เลย ครูใหญ่ย้งเลยตัดสินใจเลือกผม แต่ก็ต้องปรับบทมาหาผมมากขึ้น เพราะผมไม่ได้ดูสดใส ร่าเริง ขนาดที่วางกันเอาไว้ แต่ก็จะได้ความเก๋า ความ cool ในแบบของผม
...แต่ปัญหาของผมก็คือ ผมมาจากโฆษณา และละครมาก่อน เวลาแสดงมันจะออกมาในแบบเยอะและใหญ่ ซึ่งไม่ใช่ทางของหนัง แต่ครูใหญ่ย้งบอกว่าพอดีผมมีความลึกอยู่ในตัว เลยสามารถกด ๆ สิ่งนั้นมันลงมาได้ และปัญหาอีกอย่างคือ พออยู่กันไปซักพัก ครูใหญ่ย้งก็มาเห็นบุคลิกบางอย่างของผมที่ไปลดความเจ๋งในตัวของผมเองซะงั้น ไม่ว่าจะเป็นวิธีการพูด น้ำเสียง และวิธีการเดิน ซึ่งนั่นมันเป็นบุคลิกของผมไปแล้ว แต่ผมก็พยายามปรับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะ อย่างไรก็ตามครูใหญ่ย้งก็บอกว่า แม้ในโลกนี้อาจจะมีวิเชียรที่เหมาะกว่าผม แต่ตอนนี้ผมก็สามารถเป็นวิเชียรได้อย่างที่อยากให้เป็นแล้ว เฮ้อ…ชื่นใจจริง ๆ
[ประวัติแก็งค์เด็กหอ : เด็กหอ ศิรชัช เจียรถาวร (ไมเคิล) / รับบท : วิเชียร / เกิด : 28 พ.ค 2535 / อายุ : 12 / สูง : 153 ซม. / น้ำหนัก : 40 กก. / ผลงาน : ละครครูไหวใจร้าย, ละครเหมราช, โฆษณากาแฟเบอร์ดี้ / ประสบการณ์การอยู่หอ : ไม่มี ไม่อยากอยู่ เพราะกลัวเผลอทำตัวไม่ดี]
"ใครว่าผมเป็นหัวหน้าแก็งค์ เป็นหัวโจกของกลุ่ม ถูกแล้ว...นั่นแหละหน้าที่หลักของผม"
ชื่อ เด็กหอ เพ้ง
ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1
บ้านเกิด ปราจีนบุรี
บุคลิก ก๋า วางตัวเป็นป๋า ตั้งตัวเป็นหัวหน้าแก็งค์
รูปร่าง / ลักษณะ หน้าแก่ หัวโต แต่ตัวเล็ก
วิชาถนัด พละ
อาหารโปรด กระท้อน
ฮีโร่ มาราโดน่า
...ผมมารู้ทีหลังเอาว่าที่ครูใหญ่ย้งชอบผม เลือกผม สนใจผม เพราะหนึ่ง ผมดูเป็นเด็กต่างจังหวัดดี สอง ผมดูหน้าแก่ ซึ่งอันนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ สามคือ ผมตัวเล็ก เพราะทั้งหมดนี้มันทำให้ผมดูแตกต่างจากหัวหน้าแก็งค์เด็กอย่าง แจ็ค แฟนฉัน เพราะแจ็คจะดูเป็นเด็กโข่งเด็กซ้ำชั้น แต่ผมดูเป็นเพื่อนที่อยู่ชั้นเดียวกัน แต่เผอิญหน้าแก่ไปเท่านั้น
...ครูใหญ่ย้งบอกผมอีกว่า กว่าจะเลือกมาเป็นผมได้ ยากมาก เพราะว่าเราต้องการหนีคาแร็คเตอร์แบบแจ็ค แต่ตอนที่เขียนบทเสร็จก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าเพ้งจะออกมาเป็นยังไง และจะต่างกับแจ็คตรงไหน พอมาเจอผมก็ถึงบางอ้อเลย ว่าผมนี่แหละคือเพ้งตัวจริง เสียงจริง
...ด้วยความที่ผมไม่เคยผ่านงานด้านนี้มาก่อน จะมีก็แต่เล่นละครไก่กา ขำ ๆ กันไป โดยแสดงเป็นสุดสาคร ในงานสุนทรภู่ที่โรงเรียนถึง 3 ปีซ้อน ก็เท่านั้น ขอแอบคุยซะหน่อย แต่ถ้าเป็นจริงเป็นจังแบบเข้าวงการมาแสดงหนัง แสดงละครอะไรกับเค้า ผมยังไม่เคย พอมาเล่นเป็นเพ้งในเรื่องนี้ ผมเลยต้องซ้อมเยอะ ๆ เพราะครูใหญ่ย้งบอกว่า ถ้าผมยิ่งซ้อมเยอะ ๆ ผมจะเล่นดีขึ้น ๆ ซึ่งผิดกับเด็กคนอื่น ๆ ที่ยิ่งซ้อมเยอะ ๆ กลับยิ่งแย่ลง เพราะมันจะไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งผมคงเป็นกรณียกเว้นล่ะมั้ง
[ประวัติแก็งค์เด็กหอ : เด็กหอ จิรัฏฐ์ สุขเจริญ (นิค) / รับบท : เพ้ง / เกิด : 25 ก.ย 2531 / อายุ : 17 ปี / สูง : 162 ซม. / น้ำหนัก : 55 กก. / ผลงาน : ละครเรื่องกษัตริยา (และแสดงบทสุดสาคร 3 ปีซ้อน ในงานสุนทรภู่ของโรงเรียน) / ประสบการณ์การอยู่หอ : ไม่มี อยู่บ้านสบายกว่า]
"ใครจะว่ายังไงผมไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ผมเชื่อเรื่องกรรมเวร และที่สำคัญผมเชื่อล้านเปอร์เซ็นต์ว่าผีมีจริง"
ชื่อ เด็กหอ หมอหนุ่ย
ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1
บ้านเกิด ชลบุรี
บุคลิก พูดช้าและเนือย หมกมุ่นและเชื่อเรื่องลึกลับ
รูปร่าง / ลักษณะ หน้าตาดูจิต ๆ ชอบทำตัวประหลาด
วิชาถนัด พุทธศาสนา
อาหารโปรด แกงจืดฟัก
ฮีโร่ ล้อต๊อก
...ครูใหญ่ย้งบอกว่า ถ้าจะให้เด็กซักคนมาเล่าเรื่องหรือพูดเรื่องที่ดูลึกลับ ๆ ดูผี ๆ แล้วดูน่าเชื่อถือ มันน่าจะเป็นเด็กที่สนใจเกี่ยวกับเรื่องลี้ลับ ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องกรรมเวร แล้วบ้านก็ขายโลงศพด้วย และที่สำคัญหน้าตาต้องดูจิต ๆ ประหลาด ๆ หน่อย คือให้มันผิดธรรมชาติไปเลย
...ครูใหญ่ย้งยังบอกอีกว่า ตอนแคสติ้ง เห็นผมเดินเข้ามา มองแต่หน้าตา ก็ยังเฉย ๆ ยังไม่มีอะไร แต่พอเวลาที่ผมเล่น มันกลับดูหลอน ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งตอนแคส ผมก็เล่นแบบเล่นไม่ได้ด้วย เวลาพูดก็จะพูดช้า ๆ เนือย ๆ เหมือนคนท่องบท แต่สุดท้ายก็ได้คาแร็คเตอร์ของผมแบบนี้แหละ มาเป็นคาแร็คเตอร์ของหมอหนุ่ยนั่นเอง
...แต่จริง ๆ แล้วผมเป็นคนที่สนุกสนาน ร่าเริงนะ ไม่ได้เป็นอย่างหมอหนุ่ยทั้งหมดหรอก แต่เผอิญเวลาผมอยู่นิ่ง ๆ หรือหน้านิ่ง ๆ ก็อาจจะดูคาแร็คเตอร์เหมือนหมอหนุ่ยไปบ้างเท่านั้น ส่วนในเรื่องการแสดงของผมนั้น ครูใหญ่ย้งบอกว่า เทคแรกของผมคือเทคที่ดีที่สุด เพราะถ้ายิ่งซ้อมต่อไป จะยิ่งแย่ลง ๆไปเรื่อย ๆ
[ประวัติแก็งค์เด็กหอ : เด็กหอ ธนบดินทร์ สุขเสรีทรัพย์ (มาย) / รับบท : หมอหนุ่ย / เกิด : 20 เม.ย 2535 / อายุ : 13 ปี / สูง : 153 ซม. / น้ำหนัก : 35 กก. / ผลงาน : ยังไม่เคยผ่านงานการแสดง / ประสบการณ์การอยู่หอ : ไม่มี อยากอยู่กับพ่อแม่ กลัวคิดถึงพ่อแม่]
"บ้านผมรวย บ้านผมมีฐานะ แต่มาอยู่โรงเรียนประจำ เพราะมันเป็นโรงเรียนประจำ ผมผิดตรงไหนครับ"
ชื่อ เด็กหอ สาโรช
ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1
บ้านเกิด กรุงเทพฯ
บุคลิก ดี มีมาดคนรวย เชื่อมั่นในตนเอง
รูปร่าง / ลักษณะ หน้าตาดี ผิวพรรณดี มีชาติตระกูล
วิชาถนัด อังกฤษ
อาหารโปรด หมูทอดกระเทียมพริกไทย
ฮีโร่ ซูเปอร์แมน
...จริง ๆ แล้วเค้าหาว่าผมเป็นเด็กเส้นครูใหญ่ย้งครับ เพราะครูใหญ่ย้งบอกว่า ผมโดนเรียกใช้งานเยอะมาก ให้มาแคสเยอะมาก และผมก็เล่นแบบตั้งใจทุกครั้ง แต่ไม่เคยได้อยู่ในหนังเลย เค้าเลยสงสารผม บอกว่าเรื่องนี้ยังไงก็ต้องให้ผมเล่น
...แล้วอีกอย่างผมมีคาแร็คเตอร์ของสาโรชอยู่ในตัวผมอยู่แล้วคือ สาโรช ต้องดูเป็นลูกคนมีฐานะ แล้วผมดันเกิดมามีหน้าตาในแบบนั้นซะด้วย เลยโชคดีไป รวมทั้งบทสาโรช มันไม่ต้องอาศัยการแสดงที่เก่งหรือช่ำชองมาก และมันก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรมาก ทั้งหมดนี้ทางผู้ใหญ่เลยอนุญาติให้ผมเล่นได้ ตามคำขอของครูใหญ่ย้งครับ
...และถึงแม้ใครจะหาว่าผมเป็นเด็กเส้นก๋วยจั๊บขนาดไหน ผมก็เป็นที่รักของคนในกองนะครับ เพราะเค้าบอกกันว่า ผมเป็นเด็กเรียบร้อย นิสัยดี ฉลาด เรียนเก่ง และด้วยหน้าตาอันหล่อเหลา น่ารักของผม ทุกคนที่นี่เลยเอ็นดูผมกันครับ
...แต่รู้มั้ยครับว่า ตอนแรกผมก็เป็นหนึ่งในสองตัวเลือกของบทวิเชียรเหมือนกัน แต่พอคาแร็คเตอร์ของวิเชียรถูกเปลี่ยนจากซึม ๆ เศร้า ๆ มาเป็นร่าเริง สดใส ครูใหญ่ย้งบอกว่าในทางการแสดงผมไม่ได้เป็นเด็กที่ดูร่าเริง ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ ผมเป็นเด็กร่าเริง และสดใสกว่าไมเคิลซะอีก และที่สำคัญผมไม่ดู cool แต่กลับดูเป็นเด็กเรียนซะมากกว่า ผมเลยชวด อดเล่นบทนี้ไปตามระเบียบ
[ประวัติแก็งค์เด็กหอ : เด็กหอ อนุชิต ปนัดเศรณี (มอส) / รับบท : สาโรช / เกิด : 23 พ.ย 36 / อายุ : 11 ปี / สูง : 144 ซม. / น้ำหนัก : 30 กก. / ผลงาน : โฆษณาไมโล (ตอนอนุบาล 3) / ประสบการณ์การอยู่หอ : ไม่มี เพราะค่าใช้จ่ายสูงมาก และ กฎระเบียบเยอะ]
"ใครก็รู้ ผมเป็นเด็กใต้ ไม่ใช่เด็กเต้บ ด้วยความดำขำที่เด้งโดดความเหน่อและความกวนสุดขีดของผม"
ชื่อ เด็กหอ ป๊อก
ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1
บ้านเกิด ชุมพร
บุคลิก กวน ซ่าส์ ร่าเริง คุยได้กับทุกคน
รูปร่าง / ลักษณะ ดำ แกร็น ตาโต ยิ้มฟันขาว
วิชาถนัด ภาษาไทย
อาหารโปรด แกงส้ม
ฮีโร่ กรมหลวงชุมพร
...ครูใหญ่ย้งบอกผมว่า ที่เลือกผม เพราะคาแร็คเตอร์ผมมันแรงดี ทั้ง ๆ ที่ตอนแคสก็เล่นไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก คือแรงขนาดว่าถ้าเอากล้องแพนไปในกลุ่มเด็กประมาณ 20 คน แล้วมีผมอยู่ในนั้นด้วย พอแพนเจอหน้าผมปุ๊บ แล้วแพนกลับไปอีกที คนจะสามารถจำผมได้แล้ว อันนี้ครูใหญ่ย้งบอกว่าคือความน่าสนใจของผม คิดดูซิครับว่าผมมันแรงขนาดไหน
...ส่วนคาแร็คเตอร์ของป๊อกที่ผมต้องเล่นนั้น ก็จะเป็นเด็กสดใส ร่าเริง ชอบกวนคนอื่น แต่ตัวจริงของผมนะ กวนกว่าป๊อกในเรื่องเยอะ และก็จะคอยทำหน้าที่เป็นตัวประสาน คอยเชื่อม คอยคุยกับคนอื่น ๆ ทั้งในและนอกกลุ่มเสมอ โดยเฉพาะกับเพื่อนใหม่ ๆ เรียกง่าย ๆ ว่าชอบเจ๊าะแจ๊ะ ว่างั้น จะว่าไปตามที่ครูใหญ่ย้งบอก ป๊อกเป็นเด็กที่ธรรมดาที่สุด คือจริง ๆ ที่มีป๊อก เพราะแค่อยากจะบอกว่าโรงเรียนประจำเป็นที่รวบรวมของคนหลากหลาย มีเด็กจากหลาย ๆ ที่มารวมกัน ต่างพ่อพันธุ์แม่กันเท่านั้น แล้วที่เลือกภาษาใต้ เพราะภาษาถิ่นมันชัดมาก ทำให้ภาพมันชัดว่ามาจากคนละถิ่นกัน
...ตอนนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าครูใหญ่ย้ง คิดผิดหรือถูกที่เลือกผม เพราะใครต่อใครก็ต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ผมซน และเวรที่สุด ครูใหญ่ย้งบอกว่า ผมเป็นเด็กดื้อ ดื้อลึก ดื้อแบบว่าไม่พยายามจะทำ ชอบบอกว่าทำไม่ได้ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ลอง จนบางครั้งเพื่อนต้องเอาเกมส์มาล่อ เอามาขู่กันว่าถ้าไม่ทำจะไม่ให้เล่น จนมีอยู่วันนึงผมทำเสียแผน จนเพื่อน ๆ จับได้ คือพอต้องถ่ายตอนดึก ๆ ผมก็ไม่ค่อยอยากเล่น ผมก็จะแกล้งทำเป็นเสียงแหบ ไม่มีเสียง พอครูใหญ่ย้งบอกให้พักไม่ต้องเล่นแล้ว ผมดันกลับมาพูดเสียงใสได้เหมือนเดิมซะงั้น แผนเลยแตกเลย
...แต่ผมพอจะมีข้อดีอยู่บ้างนะครับ เพราะครูใหญ่ย้งบอกว่า ผมเป็นเด็กที่เล่นเป็นธรรมชาติมากที่สุดคนนึง แต่เฉพาะเวลาซ้อมเท่านั้นนะครับ ถ้าเมื่อไหร่ผมรู้ว่ากล้องจะถ่ายจริง จะเล่นแข็งและไม่เป็นธรรมชาติทันที และผมก็มารู้ตอนหลังเอาว่า ถ้าเมื่อไหร่จะถ่ายจริง ครูใหญ่ย้ง จะบอกคนอื่นว่าถ่ายจริง แต่มาบอกกับผมคนเดียวว่าเป็นการซ้อม ฮือ...หลอกเด็กอย่างผมได้ลงคอ แต่ผมยอมรับว่ามันก็ได้ผลนะครับ
[ประวัติแก็งค์เด็กหอ : เด็กหอ ปะกาสิต พันธุรัตน์ (เบียร์) / รับบท : ป๊อก / เกิด :6 พ.ค 37 / อายุ :11 ปี / สูง :135 ซม. / น้ำหนัก :30 กก. / ผลงาน : ยังไม่เคยผ่านงานการแสดง (แต่ถ้าโตเป็นหนุ่มเมื่อไหร่ งานชุกแน่ เพราะมีคนบอกว่า ผมเข้มเหมือนพระเอก วินัย ไกรบุตร) / ประสบการณ์การอยู่หอ : ไม่มี เพราะไม่รู้จะอยู่ทำไม]
"ความรู้สึกผิดเมื่อสิบกว่าปีก่อน มันทำให้ชั้นจำฝังใจรู้สึกผิดมาตลอด และกลัวจะเกิดเหตุการณ์นั้นซ้ำรอยขึ้นอีก"
ชื่อ ครูหอ ปราณี
ประสบการณ์ ครูประจำหอพักนาน 18 ปี
บุคลิก เครียด เฮี้ยบ ดุ น่ากลัว
รูปร่าง / ลักษณะ ท้วม เสียงดัง ตาโต โกรธรุนแรง
ฮีโร่ สวลี ผกาพันธุ์
...ดิฉันเพิ่งจะมารู้ว่า ตอนแรกไม่มีคาแร็คเตอร์ครูปราณีนี้อยู่ในหนังเลย แต่ด้วยความที่เรื่องนี้เป็นงานกำกับเดี่ยวครั้งแรก และครูใหญ่ย้งบอกว่ามันอาจจะกลายเป็นหนังเรื่องสุดท้ายในชีวิตก็ได้ ไม่มีใครรู้ เลยอยากทำงานกับดาราในดวงใจ เพราะอาจจะไม่มีโอกาสนี้อีกแล้ว เลยต้องหาเหตุผลที่จะทำงานด้วยให้ได้ ก็เลยต้องเขียนบทให้ดิฉันเล่นเป็นครู เพราะตัวละครผู้หญิงที่จะมีบทบาท มีส่วนสำคัญกับหนังเรื่องนี้คงต้องเป็นครู เพราะเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นที่โรงเรียน และที่สำคัญอยากให้เป็นบทที่ใหม่และแปลกไปจากที่คนดูเคยเห็นมาด้วย
...ครูใหญ่ย้งยังบอกอีกว่า เหตุที่ชื่นชอบในตัวดิฉันมาก เพราะโตมาในยุคของนักแสดงอย่าง จินตหรา สุขพัฒน์ , สันติสุข , อำพล ลำพูน คือช่วงนั้นเป็นช่วงวัยรุ่น เป็นช่วงที่ได้ดูหนังมาก เวลาดูหนังเรื่องหนึ่ง จินตหรา ก็ทำให้หัวเราะ ดูอีกเรื่องจินตหราก็ทำให้ร้องไห้ คือจินตหรา สามารถทำให้เกิดความรู้สึกร่วมกับหนังทุกเรื่องที่ดูได้ เลยรู้สึกผูกพัน คือเป็นดาราที่ทำให้รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้ดูหนัง นี่คือสิ่งที่ครูย้งบอกกับดิฉันค่ะ
...คาแร็คเตอร์ของครูปราณีที่ดิฉันได้รับนั้น เป็นครูที่เฮี้ยบ ดุ ค่อนข้างเก็บความรู้สึกออกเครียด ๆ ดูเป็นครูที่น่ากลัว เวลาโกรธมักออกมาในรูปแบบที่รุนแรง และดูเหมือนไม่มีเหตุผลในสายตาของเด็ก ซึ่งครูแบบนี้ก็ไม่เคยเล่นมาก่อน คือการแสดงออกของครูจะทำให้คนสับสนว่าครูคนนี้ เป็นอะไร เพี้ยน ๆ หรือเปล่า แต่จริง ๆ แล้วมันมีที่มา มีเหตุผลของการกระทำนั้น ๆ เพราะครูปราณีฝังใจกับเรื่องในอดีต รู้สึกว่าเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของตัวเอง เลยมีความห่วง ความกังวลต่าง ๆ ไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นซ้ำอีก เลยทำให้ครูกลาย เป็นคนแบบนี้ ซึ่งทำให้เด็กไม่เข้าใจ
...จริง ๆ แล้วบทนี้เป็นบทที่เล่นยาก เพราะกะไม่ถูกว่าต้องเล่นอารมณ์ออกมาประมาณไหน จะให้ดูเป็นแบบจิต ๆ เลยหรือเปล่า ก็เลยใช้วิธีให้ครูใหญ่ย้งบอกมาเลยว่า อยากได้อะไรประมาณไหน หรือดูว่าถ้าเล่นน้อยไปก็บอก จะเพิ่มให้ หรือถ้าเล่นมากไปก็จะลดให้ จะมาปรับให้อีกที และสิ่งที่ชอบในการทำงานของครูใหญ่ย้งอยู่อย่างคือ จะให้ความสำคัญทั้งภาพ และเรื่องของการแสดง จะคอยเน้นอารมณ์ต่าง ๆ ของนักแสดง คือถ้าดูทั้งสองอย่างควบคู่กันไป จะทำให้มันสมบูรณ์ เพราะโดยมากคนที่มาจากโฆษณาส่วนใหญ่จะดูแต่ภาพ ไม่ค่อยดูในเรื่องของการแสดงเท่าไหร่
[ประวัติครูประจำหอพัก : ครูหอ จินตหรา สุขพัฒน์ / รับบท : ครูปราณี / เกิด : 22 ม.ค 2508 / อายุ : 41 ปี / สูง : 163 ซม. / น้ำหนัก : 58 กก. / ผลงาน : ละครราชินีหมอลำ, โคกคูนตระกูลไข่, เลดี้เยาวราช, ภาพยนตร์บุญชู กาลครั้งหนึ่งเมื่อเช้านี้ ฯลฯ / ประสบการณ์การอยู่หอ : พี่ชายและน้องชายเคยอยู่หอ แต่ตัวเองไม่เคย]
ผมอาจเป็นพ่อที่ไม่ดีนัก เป็นพ่อที่ไม่โอบกอดหรือบอกรักลูก แต่ผมรู้อยู่เต็มอก เต็มหัวใจของผมว่า ผมรักลูกคนนี้มาก"
บทบาท พ่อของเด็กหอ ชาตรี (ต้น)
สถานภาพ สมรส
บุตร ลูกชาย 2 คน
บุคลิก พูดน้อย ไม่แสดงอารมณ์
รูปร่าง / ลักษณะ เป็นผู้นำครอบครัว ตัดสินใจเด็ดเดี่ยว
...ได้ข่าวจากครูใหญ่ย้งว่า บทพ่อของต้น เป็นบทที่หาจนวินาทีสุดท้ายเลย เป็นตัวที่หายากที่สุด เพราะว่าเป็นคาแร็คเตอร์ที่ปรากฎภาพอยู่ในหนังน้อยมาก แต่กลับมีอิทธิพลกับเรื่องราวในหนังมาก เลยต้องหาคนที่มีพลัง ในช่วงแรกเห็นว่า คิดกันไว้สองฝ่ายว่า ควรเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จักเลย แต่ต้องเล่นดี หรือเป็นคนที่คนดูเห็นแล้วรู้จัก และต้องมีพลังด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องเลือกหาจากคนที่รู้จัก เพราะไม่กล้าเสี่ยงกับคนที่ไม่มีใครรู้จักเลย
...ก็เลือกไปเลือกมา จนมาเจอผมนั่นแหละครับ ครูใหญ่ย้งบอกว่าสิ่งที่ชอบผมอันแรกเลย คือรูปลักษณ์ของผม คือได้ลุคของความเป็นพ่อ คือผมดูเป็นพ่อจริง ๆ ไม่ใช่พ่อแบบเอาดารามาเล่นหนัง แต่ก็ยังคงดูเป็นบุคคลมีที่ชื่อเสียงอยู่ เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมดูเป็นพ่อแล้ว ไม่ใช่แค่เอาดารามาเล่นเฉย ๆ
...พอได้มาเล่นเข้าจริง ๆ ก็เจอหลายอย่าง ปัญหาอย่างแรกที่แน่ ๆ เลยคือ ผมไม่เคยผ่านการแสดงหนังมาก่อน หรือแม้แต่ละครก็เล่นเป็นละครจบในตอน ซึ่งเล่นก็ไม่มาก และนั่นมันก็นานโขมาแล้วด้วย และอย่างที่สองคือ ที่ผ่านมางานของผมเป็นการทำงานที่ต่อเนื่องกัน แต่การถ่ายหนังจะต้องมาถ่ายทีละช็อต ทีละวลี อารมณ์ก็จะไม่ต่อเนื่องแล้ว ซึ่งตรงนี้ผมต้องปรับเยอะ อย่างที่สาม ผมเป็นพิธีกร การเป็นพิธีกรจะมีคาแร็คเตอร์ที่ต้องพูดชัดทุกคำ มีการพูดที่เป็นจังหวะ และเน้นคำต่าง ๆ พอมาเป็นหนังมันดูไม่เป็นธรรมชาติ ก็เลยต้องปรับตรงการพูด ส่วนด้านการแสดง ผมบอกกับครูใหญ่ย้งไปว่า ให้คิดว่าผมเป็นเครื่องดนตรี แล้วครูใหญ่ย้งเป็นผู้เล่น คือให้บอกผมมาว่าอยากให้ผมเล่นเป็นแบบไหน และผมจะพยายามเล่นตามที่ผู้เล่นต้องการให้ได้
...คือมาเล่นครั้งนี้ผมพยายามเชื่อฟัง และเปิดใจให้กว้าง ผมคิดเสมอว่า เรามาเพื่อรับรู้และทำตัวเป็นเครื่องดนตรีจริง ๆ คือผมต้องลดอัตตา ลดทุกอย่างที่เคยผ่านมาครับ ต้องมาเริ่มใหม่ ต้องคิดว่าเราเป็นนักแสดงหน้าใหม่ วันนี้มาเพื่อทำตัวให้กลมกลืนกับบทบาท และผมจะต้องฟังทุกคอมเม้นท์ คือต้องไม่คิดมาก อย่าไปคิดว่านี่เด็กหรือผู้ใหญ่ ผมต้องคิดว่าผมมาเป็นนักแสดง งานของผมคือต้องเชื่อฟัง รับทิศทางหรือไกด์จากผู้กำกับ
...และไม่นานมานี้ ผมก็ไปรู้มาว่า ครูใหญ่ย้งแอบชมผมเหมือนกันว่า ผมมีความตั้งใจสูงมากในการที่จะเล่นบทนี้ออกมา และครูใหญ่ย้งก็พอใจกับสิ่งที่ผมทำออกมาแล้ว ได้ยินอย่างนี้ผมก็รู้สึกดีใจครับ และผมเองก็ชื่นชมครูใหญ่ย้งเหมือนกันนะ คือเป็นคนที่มีสัมมาคารวะ จะเรียกผมว่าพี่ทุกครั้ง แต่อย่างกับแน็คบางทีก็เรียกสรรพนามสมัยอดีต จนบางทีผมก็งง หรือบางทีก็มีเข้าไปตบหัวเลยก็มี จนผมตกใจว่าแน็คเนี่ยเค้าเป็นพระเอกนะ แต่ก็ดีนะ ถือเป็นผู้กำกับที่ยอดเยี่ยมได้ทุกรูปแบบ
[ประวัติผู้ปกครองเด็กหอ : สุทธิพงศ์ ทัดพิทักษ์กุล (ฮาร์ท) / รับบท : พ่อของต้น / เกิด : 27 พ.ย 2507 / อายุ : 41 ปี / สูง : 170 ซม. / น้ำหนัก : 89 กก. ผลงาน : ผู้ประกาศโฆษณาทางวิทยุ, โฆษณาซิตี้แบงค์, เซียงไฮ้, เอลเมทาซิน, กระบอกสูบสุญญากาศ, พิธีกรรายการชูรักชูรส, ทไวไลท์โชว์, ปาท่องโก๋โซไซตี้ ฯลฯ / ประสบการณ์การอยู่หอ : เคยอยู่หอพักมหาวิทยาลัยตอนเรียนอยู่ที่อเมริกา สมัยอายุ 19 ปี]
"ถึงจะร้องไห้ คิดถึงลูก ห่วงลูก ไม่อยากให้ลูกไปแค่ไหน ก็ต้องตัดใจ เพราะพ่อเค้าได้ตัดสินใจแล้ว"
บทบาท แม่ของเด็กหอ ชาตรี (ต้น)
สถานภาพ สมรส
บุตร ลูกชาย 2 คน
บุคลิก อบอุ่น ชอบแสดงความรักต่อลูก
รูปร่าง / ลักษณะ หน้าตาดี สมส่วน
...ครูใหญ่ย้งเคยบอกไว้ว่า ในหนังเรื่องนี้คนที่ดูเป็นคนธรรมดาที่สุด ก็คือแม่ของต้น คืออยากให้แม่ต้นดูเป็นแม่บ้าน เป็นแม่ที่แสนธรรมดาที่รักลูกเหมือนแม่คนอื่น ๆ ทั่วไป ดุลูกได้เมื่อลูกทำผิด ซึ่งครูใหญ่ย้ง บอกว่า ดิฉันมีสิ่งนั้น คือมีความเป็นแม่ มีความธรรมดา และมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่แล้ว คือดูเป็นผู้หญิงหน้าตาดี สมวัย แม้ว่าพอไปอยู่ในหนังอาจไม่ได้มีพลังแบบครูปราณี แต่ว่าก็จะดูเป็นผู้หญิงธรรมดาคนนึงที่เป็นแม่ที่อบอุ่นได้
...จริงๆแล้วดิฉันรู้มาว่า พี่เก้ง จิระ เป็นคนเสนอกับครูใหญ่ย้ง ให้ดิฉันลองเล่นบทนี้บวกกับครูใหญ่ย้งเคยสัญญาไว้กับดิฉันว่า ถ้ามีหนังอีกก็จะให้ดิฉันเล่นพอตกปากรับเล่น ก็มาถึงบางอ้อ ภายหลังว่า เราถูกหลอกมารึเปล่าเนี่ย เพราะถูกจับเปลี่ยนลุคไปเยอะมาก ทั้งใส่วิก ทั้งแต่งตัว และแต่งหน้า จนแอบแซวกลับไปว่า จ้างมาทีไรให้เล่นเป็นคนแก่ทุกที แถมแก่ลงเรื่อย ๆ ด้วย เป็นอย่างนี้ทุกที
[ประวัติผู้ปกครองเด็กหอ : นิภาวรรณ ทวีพรสวรรค์ / รับบท : แม่ของต้น / เกิด : 9 ก.พ 2512 / อายุ : 37 ปี / สูง : 157 ซม. / น้ำหนัก : 48 กก. / ผลงาน : ภาพยนตร์แฟนฉัน]
ประวัติครูใหญ่ : ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์
...ตอนเป็นเด็กใครบ้างล่ะ จะไม่เคยฝัน...ตอนเด็กผมเคยแอบฝันไว้ใหญ่ ๆ ว่า ผมอยากเป็นนักกีฬาทีมชาติ ต้องทีมชาติเลยนะ แต่ก็ยังไม่รู้หรอก ว่าอยากเป็นนักกีฬาทีมชาติประเภทอะไร อาจเป็นเพราะผมชอบกีฬามาก และก็เล่นกีฬาได้เยอะ ฟุตบอลก็ชอบ ว่ายน้ำก็เล่น ปิงปองก็เอากับเค้าด้วย และอื่น ๆ อีกที่ผมอาจจำไม่ได้ แถมยังบ้าดูกีฬาอีก ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวง แต่สิ่งที่เข้ามากระทบหัวใจของผม และทำเอาหัวใจดวงน้อยของผมพองโตเหมือนลูกบอลลูน คงเป็นภาพติดตาในช่วงเวลาที่นักกีฬาขึ้นรับเหรียญทอง เป็นการประกาศชัยชนะอย่างแท้จริง มันช่างดูเท่ห์ และดูเป็นฮีโร่ซะเหลือเกิน...คุณลองคิดภาพผมขึ้นรับเหรียญทอง ภาพที่ผมบรรจงจูบเหรียญทอง และตะโกนร้องเพลงชาติไทยอย่างสุดเสียงในฐานะนักกีฬาทีมชาติไทยดูซิครับ !!!
...แต่พอผมโตขึ้นมา ความฝัน ความชอบ และโอกาส มันดันสวมคอนเวิร์ส ไปกันคนละทาง หนุ่มน้อย (ในตอนนั้น) อย่างผมถึงคราวต้องเลือกทางเดินชีวิตซะแล้ว และตอนนั้นผมได้ตัดสินใจเลือกเข้าเรียนภาคฟิลม์ ของคณะนิเทศ จุฬาฯ เพียงเพราะผมชอบถ่ายรูป อยากถ่ายภาพนิ่ง และวิชาถ่ายภาพนิ่งมันดันอยู่ในภาคฟิลม์ ผมเลยต้องร่วมหัวจมท้ายไปกับเจ้าสิ่งนี้ 4 ปีด้วยกัน จนท้ายสุดผมเกิดรักมันจนถอนตัวไม่ขึ้นซะแล้ว ยาบ้า ยาม้า ยาเค ยาขยัน ยาไอซ์ ที่เค้าว่าติดกันงอมแงม เลิกยากยังไง ผมว่าตัวผมเอง ติดการถ่ายหนังจนคิดว่าชาตินี้ถ้ำกระบอกก็เอาผมไม่อยู่ แยกผมให้ออกจากหนังยากส์ซะแล้ว
...เมื่อผมเรียนจบ ผมก็ทำตามวาทะของบุคคลท่านหนึ่ง ที่ผมถือว่าเป็นวาทะแห่งปีก็ว่าได้ นั่นคือ "ถ้าคุณอยากเป็นผู้กำกับหนัง คุณต้องออกไปใช้ชีวิตซะก่อน" เป็นวาทะอันศักสิทธิ์ของอาจารย์พี่เก้ง จิระ มะลิกุล ซึ่งผมได้กระทำการดังกล่าวทันทีที่ผมเรียนจบ คือต้องออกไปใช้ชีวิต นั่นคือปณิธานอันแน่วแน่ของผม ผมจะยังไม่ทำงาน ผมจะเที่ยวเล่น เฮฮาปาจิงโกะไปตามประสา ผมกับเพื่อนในกลุ่มกว่า 20 ชีวิตจะกลับไปคณะทุกวัน เพื่อนัดพบในการไปร้านเหล้า ไปปาร์ตี้กัน สำหรับผมแล้วการนั่งดื่มเหล้า ได้เถียงกันไปมาไร้สาระมันทำให้ผมได้รู้อะไรเยอะมาก และสิ่งเหล่านี้แหละครับ คือการออกไปใช้ชีวิตของผม มันเป็นอย่างนี้อยู่ 1 ปี จนท้ายสุดพวกผมเริ่มเบื่อหน้ากันเอง แล้วหนีหน้ากันด้วยการออกบวชไปทีละคน หันหน้าเข้าวัด พึ่งพระ ฟังธรรม ตามความตั้งใจ รวมทั้งตัวผมด้วย
...หลังจากที่ผมใช้ชีวิตตามปณิธานมาสักพักใหญ่ ๆ แล้ว ผมก็เริ่มหางานทำ โดยเริ่มจากการเป็น Script Writer ของรายการกระจกหกด้าน ที่มีส่วนควบคุมงานเอง ทำอยู่ประมาณ 3-4 เดือน จนรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวผม มันไม่ใช่อย่างที่คิด เลยตัดสินใจลาออก และกลับไปใช้เส้นทางชีวิตตามวาทะของอาจารย์เก้ง อีกครั้ง เที่ยวนี้ผมโกอินเตอร์ บินไม่เดี่ยวไปอเมริกา กับเพื่อนชื่อเดียว (ผู้กำกับแฟนฉัน) ไปเป็นเด็กเสิร์ฟ ได้ทั้งภาษา และได้เรียนรู้การใช้ชีวิต ได้เก็บสตางค์ไปด้วย ผมถือว่าการโกอินเตอร์ของผมครั้งนี้เป็น 1 ปี ที่ใช้ชีวิตโคตรคุ้มเลยครับ
...งานแรกที่ผมเริ่มทำหลังจากหันหลังกลับจากเมืองมะกัน คือเป็นผู้ช่วยผู้กำกับโฆษณาที่ฟีโนมีน่า โดยได้อานิสงค์จากคำชักชวนของเพื่อน ซึ่งครั้งนี้ผมคิดว่าผมโชคดีมากที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับผู้กำกับโฆษณามือฉมัง มือหนึ่งของโลก พี่ต่อ ธนญชัย ศรศรีวิชัย ทำให้ผมได้เรียนรู้วิธีคิด วิธีการเล่าเรื่อง วิธีแก้ปัญหา ที่นี่เปรียบเสมือนโรงเรียนของผม และผมก็ได้ใช้ชีวิตกิน นอน ทำงานอยู่ที่โรงเรียนแห่งนี้เป็นเวลา 2 ปีเต็ม ก่อนที่อาจารย์พี่เก้งของผมจะมาชักชวนลูกศิษย์อย่างผมทำหนังเรื่องที่ทุกคนรู้ และเคยได้ยิน ได้เห็นกันมาแล้ว "แฟนฉัน" ครับ
...นั่นคือลูกคนแรกของผม ด้วยการเลี้ยงจากบรรดาพ่อ ๆ ถึง 6 ชีวิต และตอนนี้ผมก็พร้อมส่งลูกคนที่สองของผมออกมาแล้ว ลูกคนนี้เป็นลูกของผมคนเดียวครับ หลังจากเฝ้าประคบ ประหงม ฟูมฟัก ดูแลมาเป็นอย่างดี เค้าชื่อ "เด็กหอ" ครับ ฝากคุณดูแลเด็กผมคนนี้เยอะ ๆ ด้วยนะครับ
ควันหลง “เด็กหอ” รอบสื่อมวลชน…เดาก่อนดู มันไม่หมูอย่างที่คิด
เขียนโดย the son
อังคาร, 28 กุมภาพันธ์ 2006
…ณ เซ็นทรัลลาดพร้าว เวลาตะวันชิงพลบของวันพุธกลางสัปดาห์ ก่อนหนังฉายจริงหนึ่งวัน เรามีโอกาสได้ไปร่วมงานรอบสื่อมวลชนของภาพยนตร์สุดระทึกขวัญ สุดยอดแห่งภาพยนตร์ไทย เหนือจินตนาการ (เว่อร์ไปมากแระ…ติดนิสัยคนแถวนี้มาแหง ๆ…กลับเข้าสู่โลกแห่งความจริง) ก็จะเรื่องไหนซะอีกล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ภาพยนตร์ไทยที่ติดป้าย GTH & Phenomena เรื่องแรกของปีนี้ครับ “เด็กหอ”
…เปิดตัวด้วยอาหารบุฟเฟ่ต์แต่ไม่มีจาน มีแต่ถาดหลุมอ่ะ (สมเป็นเด็กหอ) ตอนแรกไม่ค่อยมีคนตักเท่าไหร่…ก็อายเค้า หลัง ๆ เนื่องจากอร่อย จึงมีคนรอต่อคิวกันคับคั่งมาก หลังจากอิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว เงยหน้าและปากมัน ๆ ขึ้นมาดู ก็เห็นฝูงชนมากมาย ที่ไหนมั่งไม่รู้เต็มไปหมด ทำเอาชั้น 6 SFX เซ็นทรัลลาดพร้าว แคบไปกว่าเดิมมาก (เดิมทีก็ไม่ได้กว้างอยู่แล้ว) เราจึงเตรียมถ่ายรูปมาฝากกันดีกว่า โชคดีที่คิดได้ก่อนคนอื่น จึงได้ไปอยู่ข้างหน้า…ซะ (รูปถึงเป็นมุมเงยล้วน ๆ…ฮ่า ๆ ๆ)
…งานเริ่มแล้วครับ เปิดตัวด้วยเพลง…เอ่อ…(ไม่รู้จักชื่อครับ ขออภัย) ร้องโดยโฟกัสและแจ็ค แฟนฉัน หลังจากนั้นก็ได้ทราบว่าโฟกัสและแจ็คมาเป็นพิธีกรในงานนั่นเอง !!! ปล่อยมุขกันไปมา ขำบ้างไม่ขำบ้าง อภัยกันได้ (ฮ่า ๆ ๆ)
…เริ่มต้นด้วยการเชิญ พี่ไก่และพี่ฮาร์ท ซึ่งรับบทเป็นแม่และพ่อของต้น (แน็ก – ชาลี ไตรรัตน์) มาคุยกัน แล้วก็ร้องเพลง “ย้ำ” ของ bodyslam (ขอให้จำชื่อเพลงถูกทีเถ้อะ)
…ต่อมาเป็นการแจกรางวัลของผู้ที่ชนะการประกวด ประชา “ผี” จารณ์ 4 รางวัล โดยพี่ย้งเป็นผู้มอบรางวัล…
…และแล้วก็มาถึงคิวของคุณครูปราณี (พี่แหม่ม-จินตหรา) บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความสนุก จาก 2 พิธีกรแฟนฉันนั่นเอง พี่แหม่มมาร้องเพลงเต็ม ๆ ก็เป็นเพลง…อืมมม…ของ อัสนี-วสันต์ น่ะครับ ( ที่ร้องว่า “ไม่มีอะไรที่น่ากลัว เท่ากับตัวเราคิดมากไป”) ช่วงหลัง มีนักแสดงเด็ก 5 คน (ยกเว้นแน็ก) ออกมาร่วมร้องเพลงด้วยครับ
…ในที่สุดก็มาถึงพระเอกของงาน (ฮ่า ๆ ๆ) แน็กก็ออกมายืนให้กัสกับแจ็คสัมภาษณ์ แน็ก-กัสก็คุยกันอย่างน่ารักน่าชัง จนแจ็คต้องตัดพ้อว่า “ใช่ซี้ แน็กมัน ‘เด็กหอ’ ส่วนเรามันแค่ ‘เด็กเดน’…” ฮ่า ๆ ๆ ฮาครืน
…หลังจากนั้น แน็กก็โชว์เพลง “อยากจะบอกใครสักคน” คู่กับพี่หนุ่ย (ในจอ) ช่วงกลาง ๆ เพลง พี่ย้งในชุดนอนก็ออกมาร้องแทนพี่หนุ่ย ได้รับเสียงปรบมือกันอย่างมากมาย ช่วงใกล้จบพี่ ๆ ผู้กำกับกลุ่ม “แฟนฉัน” อีก 5 คนในชุดนอน ก็ออกมาร้องประสานเสียงกันอย่างสนุกสนาน
…พี่เอส (ผู้กำกับ “เพื่อนสนิท”) ทรงผมแปลกตาไป เพื่อนเลยถามว่าตัดผมทรงอะไร พี่เอสตอบว่า “ทรงยศ” (ฮา…คิดได้ไงนั่น) แบบว่าตัดผมให้เข้ากับพี่ย้งนั่นเอง
…หลังจากพูดคุยกันเสร็จสรรพ ทีมนักแสดงและผู้กำกับถ่ายรูปร่วมกับ ผู้บริหารระดับสูง GTH และฟีโนมีน่า ต่อมาก็สื่อส่วนใหญ่มารุมสัมภาษณ์ พี่ย้ง, แน็ก และพี่แหม่ม จากนั้นก็แยกย้ายกันเข้าไปชมภาพยนตร์ (มีฉายพร้อมกัน 6 โรงแน่ะครับ น่าจะรวมกับโรงที่คนไปดูปกติและก็ใส่ชุดนอนดูฟรีด้วยแหละคับ)
…เข้ามาถึงในโรงภาพยนตร์ก็ได้ชมตัวอย่างหนังไทยจุใจจริง ๆ (จนคนแถวนี้อิจฉา เพราะพี่เค้าไปดูเองแล้ว ดันไม่มีตัวอย่างหนังไทยฉายซักกะเรื่อง) ที่จำได้ก็มี “ไพรรีพินาศ” ของโมโนฟิล์ม (ตัวอย่างหนังใช้ได้เลยนะครับ), “น้ำพริกลงเรือ” ของพระนครฟิล์ม (ฉากเหมือนจะโป๊ กะฉากตลกแบบแหวะ ๆ เยอะครับ แต่ก็ถือว่าทำให้บางคนขำกันได้), “ไทยถีบ” ของอาร์เอสฟิล์ม (ดูตัวอย่างหนังแล้ว มันก็ยังงง ๆ อยู่ แต่ก็ตัดมาก็พอใช้ได้ครับ), “อินวิซิเบิลเวฟส์ คำพิพากษาของมหาสมุทร” ของไฟว์สตาร์ (ดูตัวอย่างหนังแล้วก็มีแนวเป็นของตัวเองจริง ๆ แต่ก็สื่อได้ขนลุกทีเดียว) และที่ขาดไม่ได้ จะเรื่องอะไรซะอีก ก็ “หมากเตะ…โลกตะลึง” หนังแบรนด์เดียวกับ “เด็กหอ” ที่จะฉายนั่นเอง ตัวอย่างหนังก็ทำให้คนขำกันทั้งโรงได้แบบสบาย ๆ ครับ จะรอดูนะครับ ว่าบอลไทยโค้ชบราซิล หรือบอลลาวโค้ชไทยที่จะได้ไปบอลโลกกันแน่ !!!
…ถึงเวลาหนังฉายแล้ว เนื้อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ จะเล่ามากก็กระไรอยู่ เอาเป็นว่าเป็นรับรองว่าทุกคนที่คิดว่าหนังจะเป็นยังไงก่อนไปดู ก็ต้องมีหน้าแตกหัวทิ่มกันเป็นทิวแถว อิอิ
…”เด็กหอ” เป็นหนัง coming of age ที่แสดงผ่านเรื่องราวและบรรยากาศที่ลึกลับน่ากลัว ถ้าใครได้อ่านบทสัมภาษณ์ของพี่ย้ง-ผู้กำกับหนังเรื่องนี้มาบ้าง ตามนิตยสารหรือเว็บไซท์ต่าง ๆ ก็จะเข้าใจว่าหนังเรื่องนี้ ไม่ใช่หนังผีหลอก ตั้งแต่แรกแล้ว
…ตัวอย่างหนังก็ไม่ได้ออกมาเป็นหนังผีหลอก เพียงแต่ว่ามีบรรยากาศที่น่ากลัว แต่ด้วยหนังไทยที่ผ่านมา ไม่เคยมีเรื่องไหนที่มีบรรยากาศน่ากลัวแล้วจะไม่เป็นหนังผีหลอก เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องแรกที่ทำได้ลึกซึ้งและกินใจดีจริง ๆ
…ในเนื้อเรื่องของหนังเล่าเรื่องราวของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนผ่านบรรยากาศที่ดูลึกลับและน่ากลัว ในเรื่องยังมีอารมณ์เหงา ซึ้ง และมีมุขตลกสอดแทรกไปด้วย ซึ่งดูแล้วมันลื่นไหลไปได้ดีครับ
…จริง ๆ ถ้าจะพูดว่า ในหนังชาตรีได้เติบโตขึ้น ผมเองได้โตขึ้นในเรื่องการดูหนังเช่นกัน หนังเรื่องนี้มันเป็นอะไรที่มากกว่าหนังลึกลับ มีอะไรในดี ๆ ในหนังมากกว่าผี
…”ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน” น่าจะเป็นประเด็นหลัก ที่ “เด็กหอ” ต้องการจะนำเสนอ…หนังเรื่องนี้มีทั้งความเหงา และความสดใส มีความประทับใจและความน่ากลัว…ทำให้คุณ ขนลุกได้ เบิกบานใจได้ หัวเราะได้ เศร้าได้ ซึ้งได้
…สุดท้าย แน็กแสดงดีกว่าที่คาดมาก โดยเฉพาะฉากดราม่าของต้น และนักแสดงอื่น ๆ เช่น ครูปราณี, วิเชียร และนักแสดงเด็กทุกคน ต่างมีคาแร็คเตอร์ที่แตกต่าง สร้างทั้งสีสัน และทำให้บทของต้นได้โตขึ้นตามเวลาที่ผ่านไปจริง ๆ รวมทั้งพ่อ-แม่ของต้นด้วย…อ้อ พี่น้ำตาลน่ารักอ่ะ อิอิ
…คงบอกได้คำเดียวว่า ไม่เสียดายเงินค่าตั๋วแน่นอนครับ ผมดูฟรีแล้วยังอยากจะไปเสียตังค์ดูอีกหลาย ๆ รอบ ไหน ๆ ก็ได้ชมหนังดี ๆ แล้ว ก็ช่วยอุดหนุนเค้าซะหน่อย
…หนังจบแล้วครับ มาชมภาพช่วงหลังจากออกจากโรงภาพยนตร์กันบ้าง ยังมีคนมาขอถ่ายรูป+ลายเซ็นกันอย่างคับคั่ง ไม่ยอมกลับกันเลยทีเดียว…อิ่มอกอิ่มใจมาก ๆ ครับ
แสดงความคิดเห็น