FINAL SCORE 365 วัน-ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์
สด 365 วัน ตลอดปีไม่มีหยุดพัก
ปี 2310 ชายไทยอายุ 17 ปี ไปรบ
ปี 2549 ชายไทยอายุ 17 ปี ไปเอ็นทรานซ์
4 คน 4 ฝัน กับ 1 ทีม
โคตรฟุตเตจ 300 ชั่วโมง
ตัดต่อ 7 เดือน
เลิกกอง
ตากล้องหนีบวช
ซาวด์แมนหายสาบสูญ
กุมภาพันธ์ 2550 ชีวิตเอ็นทรานซ์จะคลี่คลาย
ทุกโรงภาพยนตร์
ทีมงานสร้าง : สารคดี (แนวภาพยนตร์) / GTH (บริษัทผู้สร้างและจัดจำหน่าย) / จิระ มะลิกุล, ประเสริฐ วิวัฒนานนท์พงษ์, ยงยุทธ ทองกองทุน, เช่นชนนี สุนทรศารทูล, สุวิมล เตชะสุปินัน (อำนวยการสร้าง) / โสรยา นาคะสุวรรณ (ผู้กำกับภาพยนตร์)
ตามติดชีวิตจริงของ : สุวิกรม อัมระนันทน์, สราวุฒิ ปัาธีระ, วรภัทร จิตต์แก้ว, กิตติพงศ์ วิจิตรจรัสสกุล
ชีวิตที่ถูกฟันธงของเด็กไทยวัย 17 ปี
ชายไต้หวันวัย 17 ไปเกณฑ์ทหาร
หนุ่มอเมริกันวัย 17 เก็บของออกจากบ้าน
เจ้าหนูบราซิเลียนวัย 17 ทดสอบฝีเท้าเข้าสโมสรฟุตบอล
เด็กญี่ปุ่นวัย 17 แบ็กแพ็คมากินซูชิที่ถนนข้าวสาร
แต่…วัยรุ่นไทยวัย 17 ต้องไปเอ็นทรานซ์
วัน-เดือน-ปี เวียนผ่าน เด็กไทยวัย 17 สอบเอ็นท์กันมาชั่วนาตาปี
ปี 2549 ปีนี้ไม่เหมือนปีไหน ๆ
เพราะมันเป็นปีที่ปฏิทินการเมืองร้อนระอุด้วยม็อบกู้ชาติ
ปีที่ใคร ๆ ก็ถามไถ่ “ไปพารากอนมารึยัง?”
ปีที่ขวัญและกำลังใจของนักเรียน ม.6 แหลกสลาย เมื่อพระพรหมเอราวัณถูกทุบทำลาย ที่สำคัญ มันเป็นปีแรกของการประกาศใช้ระบบ “แอดมิชชั่นส์” ที่ไม่เกี่ยวอะไรทั้งสิ้นกับการ แอดมิด เข้าโรงพยาบาล
ปีนี้…วัยรุ่นไทยวัย 17 ที่อยากเอ็นทรานซ์ต้องสอบ โอเน็ต-เอเน็ต
สดจากโรงเรียน กองถ่ายภาพยนตร์สุดอึดจาก GTH ทุ่มเทเวลา 1 ปีเต็มเฝ้าติดตามชีวิตของนักเรียน ม.6 จำนวน 4 คนในปีที่พวกเขาก้าวเข้าสู่สนามการแข่งขันที่ดุเดือดที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต โดยไม่รู้ว่าพระเจ้าจะดลบันดาลใจให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
หลากหลายความฝัน, หวัง และ ลุ้น ของเด็กอายุ 17
ชีวิตของทีมงานกลับถูกลิขิตโดยเด็กอายุ 17 จันทร์-ศุกร์ ต้องไปโรงเรียน, เสาร์-อาทิตย์ พาพ่อแม่ไปช้อปปิ้ง โดยเฉพาะเมื่อการตรวจคะแนนของโอเน็ต-เอเน็ต ประสบปัญหา…โอ้ละหนอ โอเน็ต-เอเน็ต เมื่อไหร่คะแนนเจ้าจะฟันธงออกมา
อยากปิดกล้องแล้วโว้ย!
แต่ละปีเด็ก ม.6 ทั่วประเทศกว่า 200,000 คน
ยื่นใบสมัครสอบเอ็นทรานซ์
จากจำนวนนี้ 160,000 คนคือ ผู้ผิดหวัง!
4 คน ในจำนวนนี้ เข้าสอบเอ็นทรานซ์ด้วยระบบ O-Net / A-Net
ชีวิตเอ็นทรานซ์ของพวกเขาจะผิดหวังหรือไม่
ตามติดชีวิตการเตรียมตัวสอบ 365 วัน ต่อจากนี้ แบบไม่มีวันหยุด เพื่อเฝ้าดูช่วงเวลาสำคัญ
ไม่มีใครรู้ผลลัพธ์สุดท้ายว่าจะเป็นอย่างไร
เด็กเอ็นท์หมายเลข 1 : สุวิกรม อัมระนันทน์ (นายเปอร์)
เป้าหมายคณะที่อยากเอ็นทรานซ์ : คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโยธา
ผลเอ็นทรานซ์ : ?
เด็กเอ็นท์หมายเลข 2 : วรภัทร จิตต์แก้ว (นายลุง)
เป้าหมายคณะที่อยากเอ็นทรานซ์ : คณะนิเทศศาสตร์
ผลเอ็นทรานซ์ : ?
เด็กเอ็นท์หมายเลข 3 : กิตติพงศ์ วิจิตรจรัสสกุล (เพื่อนเรียกนายบิ๊กโชว์)
เป้าหมายคณะที่อยากเอ็นทรานซ์ : คณะวิศวกรรมศาสตร์
ผลเอ็นทรานซ์ : ?
เด็กเอ็นท์หมายเลข 4 : สราวุฒิ ปัาธีระ (นายโบ๊ท)
เป้าหมายคณะที่อยากเอ็นทรานซ์ : ใจจริงอยากเข้าคณะประมง เพราะเป็นคณะที่ใฝ่ฝัน แต่ไม่กล้าตัดสินใจเพราะกลัวครอบครัวไม่สนับสนุน เนื่องจากครอบครัวอยากให้เรียนบัญชี
ผลเอ็นทรานซ์ : ?
หนังที่ไม่มีบท ไม่มีสคริปต์
Final Score 365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์
ความเห็นของผู้ที่ได้เฝ้าดูชีวิตเด็กเหล่านี้
จาก 7 เดือนเต็มกับการตัดต่อฟุตเตจกว่า 300 ชั่วโมง จนได้ภาพยนตร์ความยาว 95 นาที ที่จริงยิ่งกว่าเรื่องไหน
“หนังเท่ห์มาก ตอนดูอยู่ผมอยากจะเข้าไปในหนัง แล้วตะโกนบอกน้องๆ ว่าเดี๋ยวเอ็นทรานซ์ก็จะผ่านเราไป มันแค่จุดที่ชีวิตต้องลากผ่าน” (ป๊อด โมเดิร์นด๊อก เด็กเอ็นท์ปี 2533)
“ผมไม่นึกว่าจะมีคนทำหนังอย่างนี้ออกมา ทั้งจริง ทั้งธรรมชาติ โชคดีที่เด็ก ๆ พวกนี้มีครอบครัวที่ดีมาก” (กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน นักวิจารณ์ เด็กเอ็นท์ปี 2506)
“ผมว่าหนังมันฮิตได้เลยนะ ผมชอบฉากที่พวกเขาคุยกันที่ทะเลที่สุด เพราะรู้สึกว่าเป็นวัยรุ่นมันเคว้งคว้างมากเลยนะ” (คงเดช ผู้กำกับภาพยนตร์ “เฉิ่ม” เด็กเอ็นท์ปี 2532)
“ทุกฉากที่ดู ผมนึกถึงตัวเองตอนเป็นวัยรุ่น ล่วงหน้าไปแล้ว ทั้ง ๆ ที่บิ๊กโชว์เครียดจนไม่ให้ถ่ายทำ แต่ผมก็เข้าใจความเครียดของเขาได้” (ประวิทย์ แต่งอักษร นักวิจารณ์ เด็กเอ็นท์ปี 2525)
“ผมชอบฉากที่เปอร์ถามแม่ว่า ‘ทำไมคุณแม่ถึงรักคุณพ่อ’ ครอบครัวนี้ทำเอาหลังผมไม่ติดเบาะตั้งแต่ต้นจนจน” (นันทขว้าง สิรสุนทร นักวิจารณ์)
“สนุกกว่าหนังวัยรุ่นทุกเรื่องที่ผมเคยดูมา โคตรลุ้นเลย” (วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ บก. a day)
“สำหรับผม ระบบการสอบจะเป็นไงไม่สนใจ ถึงเวลาเอากระดาษสอบมา แล้วซัดอย่างเดียว” (นาคร ศิลาชัย เด็กเอ็นท์ปี 2528)
“ฉากที่ลุงถามว่า ความรู้คืออะไร? เขาอาจจะแค่ถามกวนตีน แต่ผมกลับสะอึก หรือสิ่งที่เราวิ่งไขว่คว้ามาตลอดนั้นไม่ใช่ความรู้ แต่เป็นเพียงแค่บัตรผ่านไปสู่เรื่องอื่น ๆ ในชีวิต” (ภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ผู้บริหาร สนพ. OPEN BOOK เด็กเอ็นท์ปี 2530 )
“ทุกฉากที่เปอร์เผชิญหน้ากับคุณแม่ ถือเป็นการเชือดเฉือนบทบาทครั้งสำคัญไม่แพ้หนังของมาร์ติน สกอร์เซซี่ ที่มักเอาดาราดัง ๆ มาเฉือนบทกัน” (ยุทธนา บุญอ้อม เด็กเอ็นท์ปี 2529)
“เอ็นทรานซ์คือ การพนัน สมัยนี้รู้ผลก่อน สมัยก่อนลุ้นผลทีหลัง จะได้ตามฝันหรือจะได้เตะฝุ่น วัดกันแมน ๆ” (จรัสพงศ์ สุรัสวดี เด็กเอ็นท์ปี 2520)
โสรยา นาคะสุวรรณ กับหนังที่ไม่มีบท ไม่มีสคริปต์ ของเธอ
Final Score 365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์
รอยอดีตบนเส้นทางสายเก่าของ แอน – โสรยา นาคะสุวรรณ ผู้กำกับ Final Score
…อดีตเพื่อนห้องเดียวกันกับ เดียว – วิชชา โกจิ๋ว 1 ในผู้กำกับ “แฟนฉัน” เมื่อสมัยอยู่โรงเรียนบดินทรเดชาแต่พอเวลาผ่านไป กลับผันตัวเอ็นทรานซ์กลายไปเป็นรุ่นน้องเดียวที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ด้วยความที่เดียวสอบเทียบแล้วสอบเทียบอีกจนกลายไปเป็นรุ่นพี่ซะแทน
…จากนั้นโสรยาก็หอบหิ้วกระเป๋าเดินทางใบโข่งไปสถิตย์รกรากอยู่อังกฤษเพื่อเรียนต่อปริญญาโท History of Art (Twentieth Century) Goldsmiths College, University of London London, England
…ปัจจุบันละทิ้งการทำวิทยานิพนธ์ชั่วคราวตอนเรียนปริญญาเอก ประวัติศาสตร์ศิลปะ จากประเทศอังกฤษ ที่เธอทำเกี่ยวกับหนังลงกลางคันแล้วกลับมา “ทำหนัง” จริง ๆ ที่เมืองไทย
ที่มา : บริษัทผู้สร้าง จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ภาพยนตร์
จุดริ่มต้น
จุดริ่มต้นของ Final Score
…ไอเดียของหนังเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นที่ จิระ มะลิกุล ผู้ที่รู้สึกว่าชีวิตของเด็กไทยวัย 17 ปี นั้น มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเด็กไทยในช่วงวัยนี้ โดยเฉพาะชายไทยอายุ 17 ปี ในช่วงปี พ.ศ. 2310 ส่วนให่จะต้องออกไปสนามรบ
…แต่พอมายุคนี้ ปีนี้ พ.ศ. 2549 เด็กไทยอายุ 17 ปี ทั้งหิงชายจะต้องออกไปสนามสอบเอ็นทรานซ์ ซึ่งสุดท้ายแล้วผลของมันก็คือ มีผู้คนล้มตายเหมือน ๆ กัน ไม่ว่าจะ พ.ศ.ไหนก็ตาม กี่ชีวิตที่ต้องผิดหวังไปตาม ๆ กัน กี่ชีวิตที่ตายด้วยความเครียดเพราะเอ็นทรานซ์ไม่ติด
…ช่วงชีวิตของเด็ก ม.6 ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังเตรียมตัวจะเข้าสนามสอบเพื่อย่างกรายเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยนั้นน่าจะเป็นเรื่องราวที่มีสีสัน สนุกสนาน มีอารมณ์ที่หลากหลาย ไหนจะต้องเป็นพี่ใหญ่ปีสุดท้ายในโรงเรียนมัธยม ไหนจะต้องดูหนังสือเตรียมสอบให้ติดเพื่อเอาใจพ่อแม่
…จิระ พยายามหาคนที่จะมาทำโปรเจ็คท์นี้อย่างจริงจัง โดยที่เขาจะเป็นโปรดิวเซอร์ให้เอง จนในที่สุดก็ได้ แอน – โสรยา นาคะสุวรรณ ผู้ช่วยผู้กำกับที่ 4 จากหนังเรื่อง มหา’ลัย เหมืองแร่ ซึ่งย่ำดินย่ำโคลนกันมาสองสามเดือนตอนอยู่พังงากับจิระ สมควรจะมาทำให้โปรเจ็คท์นี้เกิดเป็นหนังขึ้นมาจริง ๆ
จิระ ฟันธง! เลือก โสรยา ด้วย 5 เหตุผล
…“ฟันธง!” จิระบอก “ผมว่าต้องโสรยาเท่านั้น ที่จะมาสานฝันโปรเจ็คท์ในฝันของผมให้เป็นจริง ผมว่าเค้าเหมาะที่จะมาเป็นผู้กำกับและดูแลเรื่องนี้” เหตุผลน่ะเหรอ ฮ่า ๆ ๆ ๆ จิระหัวเราะร่า “ผมว่า โสรยาเป็นคนอึดนะ อึดมาก ๆ ด้วย ตอนที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับที่ 4 ใน มหา’ลัย เหมืองแร่ ของผม ผมเห็นสิ่งนั้น โสรยาเป็นคนที่มีสิว แต่ก็เป็นผู้หญิงหน้าตาดี อีกทั้งยังเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้วย โสรยาเป็นคนที่ใคร ๆ ก็อยากจะคุยด้วย พอได้คุยกับเค้าแล้วก็รู้สึกอยากจะเล่าความลับบางอย่างให้ฟัง โสรยายังได้รางวัลจากการทำสารคดีอีกด้วย นอกจากนี้ข้อที่สำคัญคือ ความที่โสรยาเป็นผู้หญิงนี่แหละ ที่จะทำให้สามารถแทรกซึมตัวเองและทีมงานเข้าไปอยู่ในครอบครัวของเด็กที่เราจะไปตามบันทึกภาพได้อย่างไม่น่าเกลียด”
นักเดินทางทำงาน
…ด้วยหลายเหตุผลที่จิระมอง เพราะตั้งแต่เคยร่วมงานกันใน มหา’ลัย เหมืองแร่ มานั้น จิระก็เห็นแววหลาย ๆ อย่างของโสรยา โดยเฉพาะเรื่องของการทำงานที่เข้าตาของเธอ แต่ก่อนหน้าที่เธอจะมาร่วมงานกับจิระ เธอก็ผ่านการทำงานมาหลากหลายอย่าง อาทิ ทำงานในตำแหน่งคอนทินิว เคยเป็นฝ่ายประสานงานให้กองถ่ายหนังต่างประเทศ โสรยายังเคยทำสารคดีเป็นธีสิส “อเมซิ่งไทยแลนด์” ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของโสเภณี เมื่อตอนเรียนปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งโสรยาก็ได้รับรางวัลรองชนะเลิศ รางวัลช้างเผือกจากมูลนิธิหนังไทยในปี 2541 ด้วย แต่งานนี้โสรยาจะทำสำเร็จหรือไม่นั้น สวรรค์เท่านั้นที่รู้
เติมน้ำสาบานก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์
…โสรยาขับรถจากเชียงรายมาคุยเรื่องโปรเจ็คท์นี้ด้วยใจระทึกที่เชียงใหม่ เมื่อต้นปี 2548 ตอนที่มีกองถ่าย วัยอลวน 4 ที่กำลังถ่ายทำอยู่ที่นั่น หลังจากคุยกัน ในที่สุดโสรยาก็รับปากกับจิระว่าจะทำโปรเจ็คท์นี้ จิระจึงเรียกรวมพลโสรยาและทีมทำงาน อันได้แก่ ผู้กำกับ ตากล้อง ซาวด์แมน ผู้จัดการกองถ่าย ผู้ช่วยผู้จัดการกองถ่าย และคนขับรถ รวมแล้วมีทีมงานทั้งหมดแค่ 6 คน ให้มาร่วมดื่มน้ำสาบานกันก่อนเริ่มงานเพื่อเป็นการยืนยันกันว่า ห้ามลาออกกลางทางนะโว้ย! เพราะว่านี่คืองานของคนบ้าชัด ๆ ห้ามลาออกถึงแม้ว่าทีมงานจะไม่มีวันรู้ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ เพราะถ้าสุดท้ายแล้วหนังตัดออกมาแล้วไม่ได้เรื่อง ก็คงจะต้องโยนหนังทิ้งทั้งเรื่อง
…ด้วยความสนใจในเรื่องการทำสารคดีอยู่แล้ว จากโจทย์ที่จิระให้ว่ามันจะเป็นหนังที่ไม่มีบท ไม่มีสคริปต์ ก็เหมือนกับการนำเอาเรื่องจริงมานำเสนอ มาเล่าเป็นเรื่องราว เพียงแต่จะทำอย่างไรให้ความจริงที่บันทึกเอาไว้มาทำให้น่าสนใจ และเล่าออกมาเป็นเรื่องราวอย่างไรให้มันสนุกและมีสีสัน
ล้อหมุนแล้วไม่มีวันหยุด
…โสรยาเริ่มหาเด็ก ๆ ตามแหล่งต่าง ๆ ที่เด็กวัยรุ่นชอบไป ทั้งโรงเรียนกวดวิชา ห้างสรรพสินค้า หาทั้งหญิงและชาย ทั้งที่เรียนเก่งและเรียนอ่อน คัดจนได้เด็กหลายคนที่มีความน่าสนใจจริง ๆ
แรกเริ่มเดินทางไกล
…เมื่อเริ่มแล่นเข้าสู่ประตูรั้วโรงเรียนเป็นวันแรก ทีมงานของโสรยาก็เปรียบเหมือนมินิออสตินที่ทำตัวเล็กลีบอยู่ท่ามกลางกลุ่มรถบรรทุก ทั้ง ๆ ที่พยายามแฝงตัวให้ดูกลมกลืนแล้วแต่ก็ยังคงถูกเด็กๆมองด้วยความระแวง สงสัย ว่าไอ้พวกนี้มันมาทำอะไรกัน มาอยู่ได้ทุกวัน ส่วนตากล้องแมน ๆ ของโสรยาก็ถึงกับเครียดกับการที่ต้องใช้ชีวิตคอยบันทึกภาพอยู่ในโรงเรียนชายล้วนทั้งวัน แถมเมื่อตามกลับบ้านทีมงานก็ยังต้องไปหลังขดหลังแข็งนั่งอยู่ในบ้านเปอร์ทั้งคืน เรียกว่านอนทีหลังและตื่นก่อนทุกค่ำเช้า
…เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ทีมงานทุกคนต้องอดหลับอดนอน บวกกับความเหนื่อยล้า ที่เข้าขั้นสาหัส ทีมงานต้องเฝ้าดูการดำเนินชีวิตของแต่ละคนกันไปอย่างต่อเนื่อง เผื่อว่าอยู่ ๆ จะมีเรื่องราวอะไรที่จะเกิดขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว ดังนั้นทีมงานจะพลาดไม่ได้ เพราะจะถ่ายใหม่ก็ไม่ได้ เนื่องจากอยากได้ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้นจริง ๆ
ความเครียด ความกดดัน ที่เกิดขึ้นขณะขับเคลื่อน
…ตากล้อง และ ซาวด์แมน ของเราทำงานกันหนักที่สุด แต่ทีมงานของโสรยาทุกคนก็พยายามกันอย่างหนัก กล้องที่ใช้บันทึกเรื่องราว น้ำหนักกว่า 3 กิโลกรัมนั้นแทบจะเป็นอวัยวะส่วนเดียวกันกับตากล้องไปแล้ว ส่วนซาวด์แมนของโสรยาก็อ่อนล้ากับการที่จะต้องถือบูมแล้วห้อยเครื่องอัดเสียงกันทุกวัน ซึ่งการตามบันทึกภาพแบบนี้ จะพักหรือวางอุปกรณ์การถ่ายแทบจะไม่ได้ เพราะภาพหรือเหตุการณ์ต่อไปที่กำลังจะเกิดขึ้นอาจจะน่าสนใจจนต้องตามถ่ายไปอีกไม่รู้กี่ชั่วโมง วันเวลาผ่านไป จากวันเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน จนทีมงานเข้าใกล้จะถอดใจโยนผ้ายอมแพ้ กระทั่งบางอาทิตย์ทีมงานก็กลับบ้านไปพร้อมกับฟุตเตจที่ใช้อะไรไม่ได้เลย
ดื่มน้ำสาบานไปแล้ว จะเลิกก็ไม่ได้
…ชีวิตในแต่ละวัน เหนื่อยแทบขาดใจ การทำงานในทุก ๆ วันต้องใช้เวลาที่เยอะมากกว่าที่จะมีเวลาพัก ทุกคนต้องพร้อมและอึดกับมันมาก ๆ แทบไม่มีวันเวลาได้หยุด มันเป็นการเรียนรู้สำหรับทีมงานทุกคนไปด้วยในตัว และมันก็หนักหนาสาหัสกันจริง ๆ กับช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านไป จนมีคำพูดที่ฮิตพูดกันในกองถ่ายว่า “ทำไปได้ !” ทีมงานเคยคิดที่จะเลิกหรือหยุดพักสักระยะ แต่ก็ทำไม่ได้ ทำไม่ได้เพราะร่วมดื่มน้ำสาบานกันไปแล้ว เอาวะ มาจนถึงขั้นนี้แล้ว สำหรับทุกคนมันเป็นเวลาที่ผ่านไปนานมาก ๆ แต่ก็เป็นการทำงานร่วมกันเป็นทีมที่ทำให้ทุกคนได้ประสบการณ์ที่มีค่าอย่างมาก
น็อตหลุด
…จากภารกิจที่ต้องคอยตามเด็กเอ็นท์มาทั้งปี ครั้นพอเด็กจะเอ็นท์จริง ๆ พี่ ๆ ทีมงานทั้งหลายก็กลายมาเป็นครูสอนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษให้เด็ก ๆ ไปแทน กว่า 365 วัน ที่ชีวิตทีมงานต้องทุ่มเทไปกับการตามบันทึกภาพของเด็ก ๆ กลุ่มนี้ จนในที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มคลี่คลาย ผลสอบเอ็นทรานซ์ที่ดูจะมีปัญหาก็ถูกคลี่คลายกันไป ชีวิตใหม่ ๆ ของเด็กแต่ละคนกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างสดใส ในขณะที่พลังชีวิตของทีมงานกำลังจะดับลง หลังจากปิดกล้อง รวบรวมฟุตเตจที่ยาวนานกว่า 300 ชั่วโมง มาแบ่งแยกตามวันเวลาที่ถ่ายไป เพื่อนำฟุตเตจไปใช้ตัดต่อเป็นหนัง
…สุดท้ายทีมงานแต่ละคนต่างก็กระจัดกระจายหายตัวกันไปอยู่ช่วงหนึ่ง ตากล้องของเราถึงกับขอลาไปบวชสักระยะ ซาวน์แมนก็หายสาบสูไป “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” ตัวผู้ประสานงานกองถ่ายก็กลับไปช่วยที่บ้านขายอาหารที่ต่างจังหวัด ทุกคนล้วนอ่อนล้าอย่างบอกไม่ถูก “ไม่ไหวแล้ว”
ก่อนดับเครื่อง
…ฟุตเตจที่ยาวถึง 300 กว่าชั่วโมง คือสิ่งที่ “โบว์” มือตัดต่อหญิิงร่างเล็ก ต้องนั่งดูภาพกันจนตาแฉะ มาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2548 เพื่อคัดเลือกภาพ และนำเอาภาพเหตุการณ์ชีวิตจริงที่ถูกบันทึกไว้ตลอดช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น มาบอกเล่าร้อยเป็นเรื่องราวให้มีสีสัน มีความสนุก มีชีวิตและมีอารมณ์ แต่ตอนนี้ตากล้องที่เคยหนีไปบวชอยู่พักหนึ่งกลับมาแล้ว กลับมาช่วยกันดูแลหนังเรื่องแรกนี้ให้พร้อมออกมาในทิศทางที่มันควรจะเป็น และการที่ไม่มีบทนี้เอง ทำให้หนังเรื่องนี้ถูกตัดต่อไปถึง 12 เวอร์ชั่น
เส้นทางที่ผ่านมา
…หลังเรียนจบจนถึงตอนนี้โสรยาไม่ได้คิดหรือกำหนดเป้าหมายในชีวิตตัวเอง ว่าจะไปทำหนังตอนไหน เพียงแต่เธอมีใจกับการทำหนังอยู่ตลอด ช่วงที่เรียนปริาเอก ประวัติศาสตร์ศิลปะ ที่อังกฤษนั้น ระหว่างที่เธอเบื่อทำวิทยานิพนธ์ เธอก็สอบชิงทุนเรียนคอร์สสอนทำหนัง 16 มม. เป็นเวลา 1 ปี ยามว่างก็ทำวีดีโออาร์ตส่งไปตามงานเทศกาลต่าง ๆ และช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษ โสรยาก็เน้นเรื่องการใช้ชีวิตมากกว่า โสรยาไปเป็นเด็กเสิร์ฟ ไปทำงานในโรงละคร ใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อย เพราะรู้สึกว่าอยากทำ อยากใช้ชีวิตแบบนั้น ตอนนั้นโสรยามองว่า การทำหนังไม่ใช่สิ่งสำคัสำหรับโสรยาขนาดนั้น ซึ่งโสรยาก็ไม่คิดเหมือนกันว่า ชะตาชีวิตนำพาโสรยาจากลอนดอนมาสู่โรงเรียนสวนกุหลาบ และใช้ชีวิตอยู่ในนั้นวันละหลาย ๆ ชั่วโมงจนกินเวลาเป็นปี ๆ ได้อย่างไร
เส้นทางที่จะขับเคลื่อนต่อไป
…หลายขั้นตอนในการทำงานได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ถือเป็นช่วงที่โสรยาและทีมงานได้ซึมซับช่วงเวลาแห่งความทรมานและรันทด แต่คุ้มค่ามากพอที่จะปลุกปั้นกันต่อไปกับขั้นตอนสุดท้ายของ ฟุตเตจกว่า 300 ชั่วโมง หลังจากประคบประหงมมานานเพื่อที่จะนำภาพทุกนาทีชีวิตของเด็กไทยวัย 17 ที่เตรียมตัวจะเอ็นทรานซ์ให้ออกมาเป็นหนังความยาว 95 นาที ซึ่งพร้อมรอให้ทุกคนได้เฝ้าชมนาทีชีวิตจริงที่ไม่อิงบทหรือสคริปต์ใด ๆ กันแบบเต็ม ๆ ตาเรื่องนี้
365 วัน ตามติดชีวิตเด็กเอ็นท์ : หนังสารคดี หรือ หนังสาระดี-ดี ???
เขียนโดย Obelisk
อังคาร, 30 มกราคม 2007
เมื่อพบว่าแรงขับเคลื่อนของชีวิต พามาถึงคราหักเห ด้วยคำว่า ENTRANCE เด็กไทยจำต้องสะกดความหมายคำนี้ให้ขึ้นใจ ปี 2549 ปีแรกของระบบการศึกษาไทยใช้ศัพท์วิชาการให้เด็กกึ่งงง กึ่งโง่ อย่าง โอเน็ต เอเน็ต ทุกตัวเลขคะแนนมีความหมายในการทำให้เด็กแปรสภาพนักเรียนเป็นนักศึกษา ตัวเลขยิ่งมากค่าคะแนน รอยยิ้มของชัยชนะยิ่งผุดพราย มหาวิทยาลัยคือทางออกทุกอย่างของชีวิตทางเดียว?
พี่แอน โสรยา นาคะสุวรรณและผองทีมงาน หิ้วกล้องตามถ่ายทำบันทึกชีวิตเด็กที่กำลังจะเอ็นท์ เรียกตัวเองว่า “หนังสารคดี” บนความคิดที่ว่า “เราสนใจระหว่างไอ้เส้นความเป็นจริงในสารคดีกับความเป็นจริงมากกว่า ว่ามันสร้างความรู้สึกยังไงในหนังได้บ้าง” หลังสุ่มหาจนได้ตัวเลือกที่คิดว่าใช่ ของเด็กชาย ม.6 ที่ชื่อ เปอร์, บิ๊กโชว์, ลุง, โบ๊ท เพราะนี่คือหนึ่งกลุ่มตัวอย่างที่จะเข้าสู่กระบวนการคัดสรรทางการศึกษา ชาร์ล ดาร์วิน บอกไว้ว่าผู้แข็งแรงกว่าย่อมชนะ วันเดือนปีนี้ยังคงใช้ประโยคนี้ได้คมในทุกสถานการณ์
เปอร์ นำพาทีมงานและกล้องติดตามเข้าไปล่วงล้ำในซอกชีวิตของเขา เด็กชายที่ฉันตกหลุมรักทันทีด้วยเหตุผลส่วนตัว คือหน้าตาถูกใจ คือคนที่ทำให้เราตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูด เขาถามอย่างโยเย บ้านคือโลเกชั่นที่เต็มไปด้วยมุขคำถามใคร่รู้ของเด็กชาย สารพัดที่หลุดคำออกมาจากปากอย่างคะนองวัย การรบรากับแม่ด้วยสงครามแห่งวาทะ การห้ำหั่นด้วยเหตุผลที่เปอร์คิดว่าตัวเองมี เปอร์โชคดีที่มีแม่ ที่มีความพยายามเหลือเกินที่สู้ทนอาการป่วนปั่นของเขา ทับถมหลุมโหว่แห่งความเดียงสาวัยไปด้วยหลักการของผู้ผ่านโลกมาก่อน
ทุกประโยคที่เปอร์ต่อปากต่อคำกับแม่เรียกเสียงหัวเราะ ฮาลั่นกับอาการยียวน
หลายครั้งที่เปอร์พูดกับกล้อง บอกกับคนดู อย่างเป็นนิยาย ทั้งนิยามความรักที่เด็กชายคิดเอาเอง
แต่เมื่อเราเคยมีวัยเท่านั้น องศาความคิดคงไม่ได้เหวี่ยงหมุนรอบด้านอย่างปราดเปรื่อง แม้กระทั่งทุกวันนี้เมื่อความฉลาดไม่ได้สูงขึ้นตามตัวเลขอายุ
อกหัก ใจหาย โลกมืดฉิบ เซ็งโคตร ไม่อยากทำอะไรต่อ ดูโง่ ๆ แต่ก็โง่กันได้ทุกคนไม่เว้นหน้าไหน แล้วมันก็ผ่านพ้น
ภาพบิดาในอาชีพวิศวะเป็นต้นแบบ ทำให้เปอร์มีความตั้งใจที่จะเอ็นทรานซ์คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโยธา เพื่อจะแทนค่าให้ได้ใกล้เคียงอย่างต้นแบบที่มีให้เห็น ตอนหนึ่งของหนังที่เปอร์ต้องนั่งตอบคำถามว่าทำไมต้องวิศวะ ทำให้คนดูรู้ว่าเด็กชายมีความนึกคิดของศาสตร์ศึกษาวิชาการนั้นกับการใช้ชีวิตได้อย่างน่าปรบมือ ในขณะที่ยังโลดแล่นของวัย เขาต้องงัดใช้อะไรอีกมากที่จะไปให้ถึงเป้าหมายการศึกษานั้นได้ วันเดือนปีที่ผ่านในแต่ละวันดูคล้ายเด็กชายจะไม่ได้ใส่ใจกับความน่ากลัวของคำว่าเอ็นทรานซ์แต่อย่างใด
แต่เมื่อนาทีสุดท้าย ของคะแนนสุดท้าย Final Score นักเรียนทุกคนก็อยู่ในภาวะเดียวกันคือ เครียดอย่างที่สุดเมื่อฝากชีวิตตรึงอนาคตไว้กับมัน
โบ๊ท เด็กชายที่มีความชัด พูดชัด ๆ ยิ้ม ๆ ถึงสิ่งที่เขาฝันอยากเป็น ความฝันที่มีต้นกำเนิดมาจากความรัก และวิธีการที่โบ๊ทเลือกทำกับการเลือกเอ็นทรานซ์สักคณะ เอ็นทรานซ์เพื่อใคร? เอ็นทรานซ์เพื่อเอาใจคนทั้งครอบครัว ไม่ได้ผิดแผกไปจากหลังคาบ้านอื่น อีหรอบนี้ ตามจารีตประเพณีจึงลงท้ายที่เด็กต้องตกจากภาวะหลับฝันบนที่สูงมาเดินตามบัญชาผู้ใหญ่ต้อย ๆ
ลุง กับคำถามสุดเด็ดที่โสรยา ฝากถามกับคนดูอ้อม ๆ แต่ทำทีเป็นเสถามเด็กทะโมนเหล่านั้น “ความรู้คืออะไร” ขณะที่ลุงตะโกนถามเพื่อนคนโน้นคนนี้ไปพลาง อย่างเห็นขำ คนดูนิ่งเงียบ ฉิบละสิ กูยังไม่รู้เลยว่าความรู้คืออะไร ผลคือการเอาใจช่วยให้ลุงได้คำตอบที่น่าจะใช่จากใครสักคน เพราะเรายังไม่เคยแม้แต่จะลุกมาถามตัวเอง หรือถามใครต่อใครว่า “ความรู้คืออะไร” จึงไม่เคยได้รับคำตอบกลับมา
บิ๊กโชว์ เด็กชายอ้วนอวบ ที่เอาเข้าจริง ๆ ก็ก้มหน้าก้มตาคร่ำเคร่งกับการฝากเวลาไว้กับการอ่านหนังสืออย่างมุมานะ
บทสุดท้ายที่ทุกคนฝากชีวิตไว้กับผู้ขีดเส้นชะตาชีวิตที่ไม่ใช่พระพรหม แต่เป็นพระเจ้าที่ชื่อ O-Net A-Net พระเจ้าจะช่วยเราทำข้อสอบได้ไงวะ ในเมื่อยังมีเด็กอีกเป็นแสนคนลอยคอรอคอยความช่วยเหลือนั้นอยู่เหมือนกัน
เด็กชายแต่ละคนแสดงพลังงานบนสารคดีไปตามประสาความแรงของวัยที่พึงมี ครอบคลุมไปด้วยความสนุกสนาน เฮฮา แน่นอนว่าหนังจัดโทนไว้ได้อย่างบันเทิง ตามเส้นระนาบการตัดต่อที่ว่า หนังคือความจริงที่อัตราเร่ง 24 เฟรมต่อวินาที
เมื่อหนังมีปะหัวไว้ด้วยตรา GTH, มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว, โครงการไม่สูบ ไม่ดื่ม จึงไม่ใช่เรื่องเกินคาดเดาว่า กูต้องได้ดูสารคดีที่มีความเป็นหนัง Feel Good อีกแน่ ๆ นั่นคือการโดนตบชีวิตในหนังให้อยู่ในกรอบดี ๆ ตามทางเดินที่เจริญก้าวหน้าของเหล่า 365 ฟิล์มที่เคยทำมา เมื่อบางเรื่องใช้ได้ผลดีกับคนดู (วัดจากรายได้ทุกรอบ ทุกโรง รวมกัน) ผลลัพธ์จึงซวยตามมาว่าเรื่องต่อไป กูได้ดูแบบนี้อีกแน่ ๆ โชคดีที่ “เก๋า..เก๋า” เป็นผลร้ายกับการตบคนดูมากไป ไม่เวิร์ค หนังตายคาที่ ความเป็น Feel Good จึงค่อย ๆ ลดพลังกับคนดู แผ่วลงแผ่วลง และแผ่วลง เมื่อความเฝือระอา มาเยือน
เอ เขียนไปเขียนมาเอนเข้าทางด่า “เก๋า เก๋า : อวสานตำนาน Nostalgia” อีกละ อิอิ
สารคดีที่ใช้ชีวิตคนทำติดตามแหล่งกำเนิดของหนัง คนกับคนที่อยู่ร่วมกันมากค่ากว่าแค่ตัวละครหนึ่ง จึงน่าเสียดายที่หนังตัดห้วงเวลากว่า 365 วัน ออกมาได้แค่การตัดทอนชีวิตของกลุ่มพลังงานนั้นออกมาด้านเดียว ให้โชว์แค่ด้านเดียวที่เป็นเส้นตรง เห็นเป็นหนังชีวิตวัยวุ่นมันมันส์ วัยรุ่น วัย Seasons Change ที่ครื้นเครงหนุกหนานแบบมิตรภาพเพื่อนผองแฟนฉัน ตีด้วยมุข ตบด้วยเพลง ประคับประคองอารมณ์ไว้ด้วยความประนีประนอมต่อโลก ไม่ต่างไปจากการจัดฉากเลือกสรรสิ่งที่ดีที่คิดว่าคนดูจะชอบ เมื่อคิดแทนซะงั้น สรุปได้เลยว่าคนดูเราเลยได้ดูหนังที่มีคนคิดละเอียดยิบไว้ให้แล้ว ไม่เว้นแม้กระทั่งในประเภทของสารคดี
1 ชั่วโมงกว่าที่ตัดออกมาเพื่อฉายเพื่อขายนั้น ขาดหายตกหล่นไปอีกกว่า 8,760 ชั่วโมง บางอย่างกระเสือกกระสนจะสำแดงฤทธิ์ตนออกมาก็ทำได้เพียงเป็นความพยายามเล็ก ๆ เท่านั้น ตราบใดที่ยังมีโลโก้บริษัทปะหัว หนังสารคดีเรื่องนี้ไม่มีทางแตกแถวแตกแขนงแตกยอดออกไปได้มากกว่านี้
บนเก้าอี้ของคนดูอย่างฉันยังเชื่อว่าเวลาที่แทรกในหนัง น่าจะมีบางช่วง บางตอนที่มีพลัง ที่เล่นกับคนเป็น ๆ ด้วยความรู้สึกอื่นมากกว่านี้ได้
เด็กกวน ๆ คงกวนตีนได้แรงกว่านี้ ลิ่วโลดผาดโผนผิดถูกเมามันกันไปอย่างที่มันเป็น อื่นใดในชีวิตที่ถูกบันทึกถ่ายได้คงต้องมีมุมที่กว้างกว่าซ่อนอยู่ อื่น ๆ ที่มีมากค่ากว่าแค่การจัดวางเรียงฟิล์มดลให้หนังสร้างอารมณ์เดิม ๆ แต่คุณไม่มีทางเห็น ไม่มีทางรู้ เพราะโลโก้ Feel Good บังคับบังอยู่คับจอ
ในขณะที่คนทำบอกว่ามันเป็นหนังสารคดี แต่บางสิ่งกระทบกลับแปรสภาพวัตถุดิบก้อนเนื้อสารคดีให้เป็นหนังสาระ ดี-ดี ไปเสีย
อย่างไรก็ตาม หนังสารคดีเรื่องนี้ยังคงมีความดีของมันดำรงอยู่ แม้จะถูกแปรปรวนด้วยการจับชูประเด็นเบนไปทางอื่นเพียงเพื่อทำให้ขายได้ก็ตาม
ถ้ามองในแง่ดีก็คือ มันเป็นปลายเปิดทางให้คนดูได้คิดถึงสิ่งที่มองไม่เห็นในหนัง
แต่ถ้ามองในแง่ร้าย อย่าให้บรรยายอีกเลยค่ะกลับไปอ่าน เก๋า เก๋า : อวสานตำนาน Nostalgia อีก 365 วันละกันค่ะ
ขอชื่นชมคนทำหนังที่ชื่อ “โสรยา นาคะสุวรรณและทีมงาน” ด้วยคำว่า “ขอบคุณค่ะ”
ยังไงพี่ก็ “เจ๋งโคตร” ค่ะ
แสดงความคิดเห็น